จาก “อาณาจักรล้านนา” สู่ “เมืองเชียงใหม่”

พระญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายสร้างเวียงกุมกาม (ปัจจุบันอยู่ในเขตท้องที่หมู่ 11 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่) ริมฝั่งแม่ระมิงค์ เมื่อ พ.ศ.1837 ต่อมาทรงสร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พ.ศ.1839 โดยเชิญพระสหายคือพ่อขุนรามคำแหงแห่งเมืองสุโขทัยและพระญางำเมืองแห่งเมืองพะเยา เป็นที่ปรึกษาวางผังเมืองล้านนาได้แผ่แสนยานุภาพไปถึงแพร่ น่าน พิษณุโลก มีอารยธรรม ศิลปวัฒนธรรม ภาษาพูดเป็นของตนเอง พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งในรัชสมัยพระญากือนาและพระเจ้าติโลกราช แต่หลังจากสิ้นรัชสมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์มังรายแล้ว
เชียงใหม่เริ่มเสื่อมลงจนถึงยุคของพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่าสามารถยึดเชียงใหม่ได้ในปี พ.ศ.2101 แต่ยังคงให้พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ปกครองเชียงใหม่ในฐานะเจ้าประเทศราช ต้องส่งส่วยและต้นไม้ทองต้นไม้เงินเป็นบรรณาการ ให้กองทหารพม่า 10,000 นายกำกับการบริหารราชการแผ่นดินล้านนาภายใต้การปกครองของพม่า

พ.ศ.2107 พม่าปลดพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ จากราชบัลลังก์ แต่งตั้งพระนางวิสุทธิเทวีเป็นเจ้าผู้ครองนคร แต่เมื่อพระนางสวรรคตแล้วพม่าได้แต่งตั้งเจ้านายและข้าราชการของพม่ามาปกครองเชียงใหม่รวม 17 คน เป็นเวลานานถึง 216 ปี ช่วงเวลานี้เชียงใหม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทั้งของพม่าและกรุงศรีอยุธยา (รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)

ชาวล้านนาได้พยายามรวบรวมกำลังเพื่อเป็นอิสระจากพม่าหรือเพื่อ “ฟื้นม่าน” พระญาสุลวะฤาไชยนามเดิม “หนานทิพย์ช้าง” ขับไล่กองกำลังพม่าออกจากวัดพระธาตุลำปางหลวงและได้ครองเมืองลำปาง เมื่อ พ.ศ.2275 ต่อมาพม่ายึดลำปางคืนได้และแต่งตั้งเจ้าชายแก้วบุตรพระญาสุลวะฤาไชย ครองลำปาง เมื่อ พ.ศ.2307 การรวมล้านนาเข้าสยามพม่า ซึ่งรักษาเมืองต่างๆ กดขี่ข่มเหงชาวล้านนา เกณฑ์ไพร่พลไปทำสงคราม เรียกเก็บทรัพย์สินและเสบียงอาหาร สร้างความเจ็บแค้น ไม่พอใจแก่ขุนนาง ชาวเมืองล้านนาจึงได้พยายามลุกขึ้นกอบกู้เอกราชของตน แต่เนื่องจากขาดกำลังจึงทำการไม่สำเร็จพ.ศ.2314 พระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพมาตีเชียงใหม่ พระญาจ่าบ้านได้ชักชวนเจ้ากาวิละบุตรเจ้าฟ้าชายแก้วแห่งลำปางเข้าร่วมกองทัพไทยขับไล่พม่าออกจากล้านนา ตีเมืองเชียงใหม่ได้ใน พ.ศ.2319 ล้านนาจึงรวมเข้ากับสยาม พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งพระญาจ่าบ้านเป็นพระยาวชิรปราการครองนครเชียงใหม่ และทรงแต่งตั้งเจ้ากาวิละเป็นพระญากาวิละครองนครลำปาง โดยขึ้นกับกรุงธนบุรี แต่พม่าไม่ละความพยายามได้ยกทัพมาตีเชียงใหม่อีกหลายครั้ง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้พระญากาวิละเจ้าผู้ครองนครลำปางเป็นพระยาวชิรปราการ สืบต่อจากพระญาจ่าบ้าน เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 1 ต้นราชวงศ์ทิพย์จักร หรือ ต้นราชวงศ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือสายสกุล “เจ้าเจ็ดตน” บุตรหลาน พระญาสุลวะฤาไชย ที่ปกครองเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูนและลำปางเชียงใหม่มีฐานะหัวเมืองประเทศราชในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เจ้าเมืองมีอาญาสิทธิ์ในการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษาและวัฒนธรรมประเพณี เยี่ยงพระมหากษัตริย์ กรุงเทพฯกำหนดหน้าที่ของเจ้าเมือง 4 ประการ คือ 1.ช่วยป้องกันพระราชอาณาเขต 2.ช่วย
ขยายพระราชอาณาเขต 3.ช่วยเหลือในการสงคราม และ 4.ส่งเครื่องราชบรรณาการและต้นไม้เงินต้นไม้ทองทุก 3 ปี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หลังการทำสนธิสัญญาเชียงใหม่กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2416 รัฐบาลได้ส่งข้าราชการมาควบคุมดูแล แนะนำ ประสานงานให้เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา อำนาจของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เริ่มลดลงจนถึงเจ้าหลวงองค์สุดท้ายคือเจ้าแก้วนวรัฐ เชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย

บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น