แอ่ววัดโลกโมฬี วัดโบราณนอกกำแพงเมืองเชียงใหม่

วัดโลกโมฬีสร้างขึ้นในสมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.1910 สมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงโปรดอาราธนาให้คณะของพระอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้า เมืองเมาะตะมะ จำนวน 10 รูป มาสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา ซึ่งคณะสงฆ์เหล่านั้นได้จำพรรษาที่วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง

คอหนังที่เคยได้ชมภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท ซึ่งเข้าฉายไปเมื่อหลายปีก่อน เป็นภาพยนตร์ชื่อดังที่ทำรายได้มหาศาล ใช้ทุนสร้างถึง 400 ล้านบาท ใช้เวลาในการสร้างและเขียนบทนานกว่า 7 ปี นับเป็นมหากาพย์ของเมืองไทยที่มีคนกล่าวขานกันมากที่สุด กำกับการแสดงโดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล จนทำให้คนในวงการภาพยนตร์ยกย่องว่าสุริโยไท เป็นประวัติการณ์เกือบทุกด้านของวงการภาพยนตร์ไทย
ใครที่ได้ชมคงจะเห็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์ ที่ใช้วัดโลกโมฬีเป็นฉากถ่ายทำ ซึ่งเป็นฉากที่พระไชยราชาธิราชเสด็จนำทัพจากอยุธยาไปรบกับแคว้นล้านนา ตรงกับรัชสมัยของพระนางจิรประภามหาเทวี ซึ่งนำแสดงโดยเพ็ญพักตร์ ศิริกุล เมื่อประมาณปี พ.ศ.2088 และนั่นดูเหมือนว่าวัดโลกโมฬีจะเป็นที่รู้ของคนทั่วไปมากยิ่งขึ้น
หากจะกล่าวถึงความสำคัญของวัดโลกโมฬีตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา พบว่าเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในเมืองเชียงใหม่สร้างขึ้นในสมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.1910 สมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงโปรดอาราธนาให้คณะของพระอุทุมพรบุปผมหาสวามีเจ้า เมืองเมาะตะมะ จำนวน 10 รูป มาสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา ซึ่งคณะสงฆ์เหล่านั้นได้จำพรรษาที่วัดโลกโมฬี อันเป็นสถานที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง
กระทั่งต่อมาในปีพ.ศ. 2070 พระเมืองแก้วได้โปรดให้สร้างพระมหาเจดีย์และพระวิหารหลวง ในปีพ.ศ. 2088 ได้มีการบรรจุพระอัฐิของพระเมืองเกษแก้วทางด้านกำแพงทิศเหนือของพระอาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงประจำพระองค์ จากนั้นเสนาอามาตย์จึงได้ทูลเชิญพระนางจิรประภามหาเทวีขึ้นครองราชในปี พ.ศ. 2088 – 2089 อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าขุนนางเรืองอำนาจทำให้เมืองเชียงใหม่อ่อนแอ เป็นเหตุให้สมเด็จพระไชยราชาธิราช กษัตรย์อยุธยายกทับมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระนางจิรประภามหาเทวี จึงทรงรักษาเอกราชไว้ได้พร้อมกับทูลเชิญพระไชยราชาธิราชเสด็จมาทำบุญที่วัดโลกโมฬี และยังพระราชทานทรัพย์สร้างกู่พระเมืองเกษเกล้าให้สมพระราชเกียรติ
ในรัชสมัยของพระนางวิสุทธิราชเทวี กษัตรย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังราย ได้ทรงทำนุบำรุงในพระศาสนา อีกทั้งทรงเลื่อมใสในสมเด็จพระสังฆราชโลกโมฬีเจ้า จวบจนพระนางเสด็จทิวงคต ในปี พ.ศ.2121 ได้มีการถวายพระเพลิงพระนางวิสุทธิราชเทวีและบรรจุพระอัฐิไว้ภายในบริเวณพระอารามหลวงโลกโมฬี
หลังจากนั้นมาเมืองเชียงใหม่จึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่นานกว่า 200 ปี วัดวาอารามต่างๆถูกเผาทำลาย แต่วัดโลกโมฬีไม่ได้ถูกเผาทำลายเนื่องจากเป็นวัดสำคัญในราชสำนักมาโดยตลอด เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชโลกโมฬีเจ้า แม้ในสมัยของพระเจ้าสุทโธธรรมราชา พ.ศ.2182 ได้ทรงมีพระราชศรัทธาถวายทานอันยิ่งใหญ่ในเดือนยี่เป็งของทุกปีกับสมเด็จพระสังฆราชโลกโมฬีเจ้าซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สำคัญในช่วงเวลานั้น
กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดโลกโมฬีถูกทิ้งให้ร้าง จนถึงปี พ.ศ.2502 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดโลกโมฬีเป็นโบราณสถานของชาติ
ปี พ.ศ.2544 คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่มีมตีให้พระญาณสมโพธิ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารเป็นประธานในการก่อสร้างและฟื้นฟูวัดโลกโมฬีให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา โดยมีพระ ดร.ดวงคำ อภิวัฑฺฒโน เป็นหัวหน้าสงฆ์ทำหน้าที่ดูแลรักษาตลอดมาและมีการเททองหล่อพระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถพร้อมทั้งวางศิลาฤกษ์พระวิหาร
กระทั่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 กรมการศาสนาได้อนุมัติให้ยกฐานะวัดโลกโมฬีจากวัดร้างให้เป็นพระอารามที่ถูกต้องตามกฏหมายและได้แต่งตั้งให้พระญาณสมโพธิเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ปี พ.ศ.2545 ได้มีการเททองหล่อรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เศียรพระประธานในวิหารวัดโลกโมฬี
สำหรับผู้สนใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่และต้องการเข้าไปสัมผัสกลิ่นอายแห่งพุทธศาสนาที่วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ทิศเหนือ ถนนมณีนพรัตน์ ใกล้กับแจ่งหัวริน

จักรพงษ์ คำบุญเรือง
[email protected].
12/2/60

ร่วมแสดงความคิดเห็น