พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ทองแห่งย่างกุ้ง

ประเทศเมียนม่าร์ (Myanmar) หรือพม่านับเป็นประเทศที่มีพรมแดนใกล้ชิดติดกับไทย และอาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศเดียวที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสยาม ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ ด้วยความที่เมียนม่าร์ถูกมองว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์โดยรัฐบาลทหาร มีการปิดประเทศมายาวนานกว่า 30 ปี ขณะที่ภายในประเทศเมียนม่าร์เองก็เกิดการต่อสู้เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยจากรัฐบาลทหารมาตลอด จนระยะหลังทำให้ประเทศเมียนม่าร์ถูกละเลยจากนักท่องเที่ยว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเมียนม่าร์นับเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เป็นอู่อารยธรรมในอุษาคเนย์ และมีแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมอีกมากมายที่รอให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส

ทว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมียนม่าร์ได้มีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนางอองซานซูจี มีการเปิดประเทศรวมถึงเปิดเสรีด้านการท่องเที่ยว ด้วยการยกเลิกค่า F.E.C.(FOREIGN EXCHANGE CERTIFICATE) ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถอยู่ในเมียนม่าร์ได้นานถึง 4 สัปดาห์ โดยไม่ต้องขอวีซ่าจากสถานทูต ส่งผลให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยือนประเทศเมียนม่าร์มากขึ้น นักเดินทางผู้เคยเดินทางเข้าออกเมียนม่าร์ต่างลงความเห็นว่า คงไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมาะสมจะมาเที่ยวเมียนม่าร์ไปยิ่งกว่าเวลานี้อีกแล้ว

ปัจจุบันการเดินทางไปเยือนเมียนม่าร์นั้นสะดวกสบายขึ้นเยอะ มีสายการบินและบริษัททัวร์ต่าง ๆ เข้าไปลงทุนในเมียนม่าร์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสายการบิน Air KBZ มีการเปิดเส้นทางบินตรงจากกรุงย่างกุ้ง-เชียงใหม่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ

ประเทศเมียนม่าร์ ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเจดีย์ทองคำและวัดวาอารามที่งดงามน่าพิศวงเหนือคำบรรยาย ด้วยศรัทธาที่ชาวเมียนม่าร์มีต่อพุทธศาสนาและความเรียบง่ายในการดำรงชีวิตทำให้เมียนม่าร์ยังคงเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่เอาไว้ได้

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในเมียนม่าร์ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและทั่วโลกนิยมเดินทางมาก็คือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) ชื่อ “ชเว” หมายถึงทอง “ดากอง” หรือ “ตะเกิง” เป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง (เมืองตะเกิง) “ชเวดากอง” จึงหมายถึง เจดีย์ทองคำแห่งเมืองดากอง

เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ (Singuttara Hill) ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นในปีเดียวกับที่กำเนิดพระพุทธศาสนา ทว่านักโบราณคดีกลับเชื่อว่าเจดีย์แห่งนี้นั้นสร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 6 – 10 โดยชาวมอญ

ตำนานการสร้างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง กล่าวว่าเริ่มสร้างในสมัยอณาจักรพุกามเรืองอำนาจ เกิดจากพ่อค้าสองคนนามกว่า ตปุสสะ (Tapussa) และ ภัลลิกะ (Bhallika) ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้ได้ 45 วัน และได้รับประทานพระเกศามา 8 เส้น เอาไว้สำหรับบูชา ระหว่างเดินทางกลับนั้นได้ถูกชิงพระเกศาไปโดย กษัตริย์แห่งนครอเจตตะ (Ajetta) และพญานาค คนละ 2 เส้น หากพอกลับถึงบ้านเกิด พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญ ทรงจัดพิธีต้อนรับพระเกศาธาตุอย่างยิ่งใหญ่ และเปิดผอบออกดูกลับเกิดปาฏิหาริย์มีพระเกศาครบ 8 เส้นดังเดิม รวมถึงพระเกศายังเปล่งรัศมีสว่างไสว กล่าวกันว่าเกิดอิทธิฤทธิ์บันดาลให้คนพิการหายเป็นปกติ ต้นหมารากไม้ผลิตดอกออกผล ฝนโปรยลงมาเป็นเพชรนิลจินดา พระเจ้าโอกะลัปจึงดำรัสให้สร้างเจดีย์อิฐสูง 9 เมตร เพื่อใช้บรรจุพระเกศาทั้งหมด

พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ถูกสร้างและบูรณะหลายครั้งในหลายสมัย โดยถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร และพระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัยพระนางฉิ่นซอปู้ (Shin Sawbu) ได้สร้างลานกำแพงล้อมรอบและพระราชทานทองคำหนักเท่าตัวพระองค์ คือ 40 กิโลกรัม เพื่อนำไปตีเป็นแผ่นหุ้มเจดีย์ เกิดเป็นธรรมเนียมบริจาคทองคำสืบต่อกันมา และต่อมาในสมัยพระเจ้าธรรมเซดี (Dhammazedi) ก็ได้บริจาคทองคำน้ำหนัก 4 เท่าของน้ำหนักพระองค์เพื่อบูรณะซ่อมแซม หากได้เข้าไปมองดูใกล้ๆ จะเห็นรอยต่อของแผ่นทองคำแต่ละแผ่นที่ต่อกันไม่สนิทอยู่

ปัจจุบันด้วยแรงแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเมียนม่าร์ ทุก ๆ 5 ปีได้มีการทำนุบำรุงซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ขึ้น โดยได้ร่วมบริจาคและรวบรวมทองคำมาห่อหุ้มองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นน้ำหนักถึง 1,100 กิโลกรัม

ยอดฉัตรประดับประดาด้วยเพชรพลอยอัญมณีล้ำค่ากว่า 5,548 เม็ด รวมถึงทับทิมขนาดเท่าไข่ไก่ ปัจจุบันพระมหาเจดีย์ชเวดากองมีความสูงราว 326 เมตร หนังสือ Guinness Book of Records ได้จัดให้พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก

ทุกวันจะมีชาวมอญและชาวเมียนม่าร์ต่างเดินทางมากราบไหว้พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นจำนวนมาก ชาวเมียนม่าร์เชื่อกันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องมากราบไหว้เจดีย์ชเวดากองให้ได้ สถานที่สำคัญของพระมหาเจดีย์ชเวดากองคือ ลานอธิษฐาน ซึ่งในอดีตพระเจ้าบุเรงนองจะมากราบไหว้ขอพรก่อนที่จะออกรบ ซึ่งจุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถนำดอกไม้ธูปเที่ยนไปไหว้เพื่อขอพรจากองค์พระเจดีย์ชเวดากอง เพื่อเสริมสร้างบารมีและสิริมงคล ในบริเวณรอบองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองยังมีสัตว์ประจำวันเกิดประดิษฐานทั้งแปดทิศ ได้แก่วันอาทิตย์ – ครุฑ อยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียง เหนือของลานเจดีย์ วันจันทร์ – เสือ อยู่ทิศตะวันออก วันอังคาร – สิงห์ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ วันพุธ (เช้า) – ช้างงา อยู่ทิศใต้ วันพุธ(กลางคืน) – ช้างไม่มีงา อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ วันพฤหัสบดี – หนู อยู่ทิศตะวันตก วันศุกร์ – หนูตะเภา (บางคนเชื่อว่าเป็น กระต่ายหูสั้น) อยู่ทิศเหนือ วันเสาร์ – พญานาค อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยเชื่อกันว่าการสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์เหล่านี้ จะสร้างความบริสุทธิ์และความสุขความเจริญแก่ผู้สรงน้ำ โดยจะรดน้ำด้วยขันเล็ก ๆ ที่มีจัดเตรียมไว้ให้เป็นจำนวนเท่าอายุ +1 แต่สำหรับ คนแก่ ๆ ที่อายุ 60-70 ไปแล้วก็อาจจะย่นย่อลง เหลือ 5 ขันก็ได้ ซึ่งหมายถึงพระรัตนะไตรรวมกับบิดามารดานั่นเอง

สถานที่สำคัญต่าง ๆ รอบลาน ซึ่งจะมีวิหารใหญ่ 4 หลัง ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วทั้ง 4 พระองค์คือ พระกักกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสปะ และพระโคตมะองค์ปัจจุบันให้ประชาชนได้กราบไหว้ทำบุญด้วย รวมถึงการไปตีระฆัง สิงคุ นอกจากนั้นยังมีอีกจุดหนึ่งบนลานซึ่งเขาทำจุดให้ยืนไว้ซึ่งจะทำให้มองเห็นประกาย เพชรบนยอดฉัตรได้ด้วยตาเปล่า

นี่เป็นเพียงเรื่อวราวบางส่วนของประเทศเมียนม่าร์ หากนักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปสัมผัสดินแดนประวัติศาสตร์ อู่อารยธรรมแห่งอุษาคเนย์ สามารถเดินทางไปเยือนประเทศเมียนม่าร์ได้ ปัจจุบันการเดินทางไปย่างกุ้ง – เชียงใหม่ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ใช้เวลาไม่นาน จะไปแบบแบ็คแพคหรือแบบกรุ๊ปทัวร์ก็ได้ทั้งนั้น ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง อัตราแลกเปลี่ยนเงินพม่า 1 บาท เท่ากับ 32 จั๊ต และมีหลายบริษัทเปิดกิจการท่องเที่ยวไปประเทศเมียนม่าร์

จักรพงษ์ คำบุญเรือง
[email protected]

ร่วมแสดงความคิดเห็น