ไปพักใจที่ปางอุ๋ง แล้วไปอิ่มกาย ที่บ้านรักไทย

โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) หรือที่มีชื่อเรียกเต็มๆว่า “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)”
ปางอุ๋ง มีลักษณะพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ บนยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำเป็นทิวสนที่ปลูกเรียงรายกัน ปางอุ๋ง ที่หลายๆคนอาจยังไม่เข้าใจความหมาย คำว่า “ปาง” ซึ่งหมายถึงที่พักของคนทำงานในป่า ส่วน “อุ๋ง” นั้น เป็นภาษาเหนือ หมายถึง ที่ลุ่มต่ำคล้ายกระทะใบใหญ่มีน้ำขังเฉอะแฉะ ก็น่าจะหมายถึงที่พักริมอ่างเก็บน้ำนี่เอง ภาพอันสวยงามของไอหมอกที่ลอยเหนือทะเลสาป กับบรรยากาศอันหนาวเหน็บในยามเช้า ทำให้ปางอุ๋งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมาแรง ยอดฮิต สุดแสนโรแมนติก ติดอันดับต้นๆของแม่ฮ่องสอน
จนได้รับขนานนามว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์ของเมืองไทย” ยิ่งยามพระอาทิตย์ขึ้น จะสะท้อนผืนน้ำผ่านทิวสนและไอหมอกบางๆ ยิ่งเป็นภาพที่สร้างความประทับใจ ยากจะลืมเลือนแม้กระทั่งในเวลาที่หมอกเลือนลางหายไป ก็ยังคงความงาม นอกจากชมบรรยากาศของสายหมอกในยามเช้าแล้ว กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้ คือ การนั่งแพ ชมทัศนียภาพและบรรยากาศโดยรอบ รวมถึงชมดาราแห่งปางอุ๋ง นั่นก็คือหงส์พระราชทานจาก สมเด็จพระราชินี ซึ่งเป็นหงส์ขาวอย่างละ 1 คู่ด้วยกัน โครงการพัฒนาพื้นที่สูงปางตอง จัดตั้งขึ้นตามแนว พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อคณะทำงานตามโครงการพระราชดำริ จ.แม่ฮ่องสอน ณ เรือนประทับแรมปางตอง เมื่อปี 2523 โดยมีพระราชดำรัสว่า “บริเวณป่าแถบนี้ ควรอนุรักษ์สัตว์ป่า แบบอย่างสวนป่าเปิด เพื่ออนุรักษ์สัตว์ในท้องที่ป่าแถบนี้” ผู้รับสนองพระราชดำริ คือนาย ปรีชา อบอาย ป่าไม้เขตแม่สะเรียง (ตำแหน่งในขณะนั้น) จึงได้รับจัดตั้งขึ้นในปี 2526 เป็นต้นมา จนปัจจุบันสังกัดกลุ่มงานการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

จุดแรกเมื่อผ่านเข้าสู่เขตพระตำหนัก ไม่ควรพลาดการแวะสักการะ “ศาลทหารเสือ” และ “ศาลมหาราช” เพื่อความเป็นสิริมงคล ศาลนี้สร้างขึ้นเพื่อถวาย องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เมื่อ 400 ปีเศษที่ผ่านมา ตามบันทึกพระองค์ทรงกรีธาทัพไปตีได้เมือง “หงสาวดี” จากนั้นจะไปตีเมืองตองอูต่อ แต่กองทัพยังไม่พร้อม ขัดสนเสบียงอาหารด้วย จึงต้องยกทัพกลับ เดินทัพกลับมาทาง “ปางตอง” แม่ฮ่องสอน ปาย แม่มาลัย เชียงใหม่ กลับอยุธยา ดังนั้นจึงตั้งเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงพระองค์ไว้ที่นี่
ในโครงการพัฒนาพื้นที่สูงปางตอง มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น คอกเสี้ยงสัตว์หายากอย่าง เนื้อทราย กวางป่า ละมั่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ สถานีแปลงพันธุ์ไม้ดอกต่างๆ เรือนเพาะชำกล้าไม้เมืองหนาว ที่ชูช่อแข่งกันบานอย่างสวยงาม มีทั้งพันธุ์ไทยแท้และนำเข้าจากต่างประเทศ ให้ได้ศึกษากันอย่างมากมาย
ส่วนทางด้านหลังโรงเพาะ แนะนำให้ไปดูปลาสเตอเจียน (ไข่ปลาคาเวียร์) ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระใหญ่ จากนั้นเดินต่อไปบนเนินเขา ข้ามสะพานตรงลำธารเล็กๆ ตามบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปด้านบน ผ่านซุ้มแมกไม้จะเห็นพระตำหนักปางตอง ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ยามเสด็จฯ เยือนแม่ฮ่อง สอน เรือนพระตำหนักแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาโดดเด่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน รอบบริเวณพระตำหนักร่มรื่นด้วยร่มเงาไม้ใหญ่ ดอกไม้เป็นพวงระย้า ส่งกลิ่นหอมคลุ้ง อวดผีเสื้อที่บิน ว่อนอย่างสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถที่จะเดินขึ้นไปชมภูมิทัศน์ด้านบนรอบๆ พระตำหนักได้ ใกล้ๆ บริเวณลานจอดเฮลิคอป เตอร์ เมื่อมองลงมาด้านล่าง จะเห็นทุ่งเลี้ยงแกะได้บรรยากาศ ไม่ต่างกับชนบทในต่างประเทศ
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบนเนื้อที่กว่า 150 ไร่ อยู่ในส่วนดูแลรับผิดชอบของโครงการอนุรักษ์สัตว์ป่า โดยส่วนมากจะเป็นสัตว์ป่าที่หายากใกล้จะสูญพันธุ์ มีทั้งเสือลายเมฆ ไก่ฟ้า นกยูงไทย ชะนีบิตุรงค์ หมีควาย นกเงือก เป็นต้น และที่พลาดไม่ได้คือ การชื่นชมความน่ารักของฝูงแกะเกือบร้อยตัวอย่างใกล้ชิด โดยนักท่องเที่ยวสามารถอุ้มแกะถ่ายภาพ หรือไล่ต้อนฝูงแกะได้อย่างสนุก สนาน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์จากขนแกะ อย่างผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่สวยๆ ให้เลือกซื้อกันในราคากันเองด้วย
บ้านรักไทย หมู่บ้านชาวจีนยูนนาน ที่รายล้อมด้วยหุบเขาใหญ่ บ้านรักไทยแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.แม่ ฮ่องสอน ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนาน ที่ในสมัยอดีตเคยเป็นทหารจีนคณะชาติ (กองพล 93) หรือที่เรารู้จักกันว่า “ก๊กมินตั๊ง” ที่นี่ค่อนข้างมีอากาศเย็นๆ สบายๆ เกือบทั้งปี ยกเว้นช่วงหน้าหนาวนี่แหละ ที่จะหนาวมากเป็นพิเศษ เพราะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,776 เมตร และนอกจากเรื่องของอากาศที่ดีมากๆ แล้ว พื้นที่ของบ้านรักไทยนั้น ก็เหมาะอย่างยิ่งกับการปลูกชาพันธุ์ดี และพืชเมืองหนาวอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นในเรื่องของชา และขาหมูหมั่นโถวมาก

ร่วมแสดงความคิดเห็น