“สุวรรณจังโกฏ” เจดีย์บรรจุอัฐิพระนางจามเทวี

วัดจามเทวี แต่เดิมเรียกกันว่า วัดสังฆราม ต่อมาภายหลังเรียกว่า วัดกู่กุด เป็นวัดโบราณเก่าแก่และมีความสำคัญในประวัติศาสตร์มากที่สุดวัดหนึ่งในจังหวัดลำพูน ใครเป็นผู้สร้างวัดจามเทวีและสร้างมาแต่ครั้งใด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ส่วนใหญ่เป็นการสันนิษฐานจากเอกสารซึ่งปรากฏในภายหลังประกอบตำนาน และนิยายปรัมปราบ้างเท่านั้น เนื่องจากโบราณสถานสำคัญในวัดจามเทวีที่เก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างสับสนเพียง 2 แห่ง คือ กู่จามเทวี หรือกู่กุด หรือสุวรรณจังโกฏเจดีย์ กับรัตนเจดีย์ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า เจดีย์แปดเหลี่ยม ซึ่งมีเอกสารและตำนานต่าง ๆ กล่าวถึงโบราณสถานทั้งสองแห่งขัดแย้งกันมาก บางแห่งกล่าวว่า พระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งเมืองหริภุญชัย โปรดให้สร้างพระบรมธาตุสุวรรณจังโกฏ พร้อมทั้งได้สถาปนาวัดจามเทวี ส่วนเอกสารบางแห่งกล่าวว่า พระราชโอรสของพระนางจามเทวี คือ เจ้ามหันตยศและเจ้าอนันตยศ โปรดให้สร้างวัดจามเทวีขึ้น เพื่อถวายพระเพลิงพระศพของพระนางจามเทวี และภายหลังจากถวายพระเพลิงพระศพของพระนางจามเทวีแล้ว จึงโปรดให้สร้างเจดีย์เหลี่ยมมียอดหุ้มด้วยทอง เรียกชื่อว่า “สุวรรณจังโกฏ”

ในตำนานจามเทวีฉบับแปลจากภาษาไทยยวน กล่าวว่า “พระยามหันตยศก็เลิกทราก ส่งสะการแม่แห่งตนเสียยังป่าไม้ยาง แล้วเอากระดูกช้อนแว่นหวีไปรวมกันก่อเป็นเจดีย์ไว้ชื่อว่า สุวรรณจังโกฏ หนใต้เวียงหริภุญชัยวันนั้นแล…” ส่วนในตำนานมูลศาสนากล่าวว่า ครั้นถวายพระเพลิงเสร็จก็แห่พระอัฐิเลียบมาหนวันออกเวียง แล้วก่อพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิ เครื่องใช้ เครื่องประดับ ของพระนางจามเทวีไว้รองรับพระอัฐิของพระนางจามเทวี ให้ชื่อว่า สุวรรณจังโกฏเจดีย์ นอกจากนั้นในตำนานจามเทวีหริภุญชัยเชียงใหม่ ก็กล่าวพ้องต้องกันกับตำนานมูลศาสนา แต่บอกว่า สร้างเจดีย์ไว้หนใต้เวียงหริภุญชัย ภายหลังช้างพระที่นั่งล้มก็เอางาและกระดูกไปบรรจุไว้ใต้อัฐินั้น เจดีย์องค์นี้ชาวบ้านในสมัยนั้นจึงเรียกว่า “เจดีย์จามเทวี” หรือ “เจดีย์กู่กุด”

ต่อมาวัดจามเทวีได้ร้างไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2469 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จประพาสภาคเหนือ และทรงสำรวจโบราณสถานวัดกู่กุดแล้วทรงปรารภว่า พระนางจามเทวีทรงสร้างวัดนี้ขึ้นจึงโปรดให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ว่า “วัดจามเทวี” ในสมัยที่เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองลำพูน ได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จะเสด็จประพาสจังหวัดเชียงใหม่ ทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสจังหวัดลำพูน เพื่อทอดพระเนตรโบราณสถานด้วย เจ้าจักรคำขจรศักดิ์จึงสั่งให้ช่วยกันแผ้วถางบริเวณวัดกู่กุดเป็นเวลาหลายวัน จนโล่งเตียนมองเห็นซากโบราณสถานได้ชัดเจนขึ้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จทอดพระเนตรแล้ววัดจามเทวีก็ยังเป็นวัดร้างอยู่ตามเดิม เพราะไม่มีพระภิกษุสามเณรจำพรรษา จนกระทั่ง พ.ศ. 2479 เจ้าจักรคำขจรศักดิ์จึงได้อาราธนาครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนามาช่วยก่อสร้างโบสถ์ วิหาร กุฏิ ตลอดจนบูรณะปฏิสังขรณ์ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานสำคัญ แล้วสถาปนาวัดจามเทวีขึ้นมาใหม่ มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษา สำเร็จเรียบร้อยโดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2480 และประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2480 มีชื่อเรียกว่า “วัดจามเทวี” สืบมาจนถึงปัจจุบัน

ภายในวัดจามเทวีมีโบราณสถานที่สำคัญ คือ สุวรรณจังโกฏเจดีย์ หรือ กู่จามเทวี หรือกู่กุด ลักษณะเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมก่อด้วยศิลาแลง ถือปูนประดับลวดลายปูนปั้นซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น แต่ละชั้นมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับยืนปางประทานอภัย ชั้นละ 3 องค์ ทั้ง 4 ด้านด้านละ 15 องค์ รวมทั้งสิ้น 60 องค์ และที่มุมทั้งสี่ของเจดีย์แต่ละชั้นมีเจดีย์เหลี่ยมขนาดเล็กประดับประจำทุกมุม ใหญ่เล็กลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในวัด ใกล้ ๆ กันมีเจดีย์เล็กชื่อว่า “รัตนเจดีย์” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เจดีย์แปดเหลี่ยม” เป็นเจดีย์ขนาดย่อมรูปทรงแปดเหลี่ยม ก่ออิฐไม่ถือปูนประดับลวดลายปูนปั้น มีพระพุทธรูปประทับยืนปางประทานอภัย ประดิษฐานตามซุ้มเหลี่ยมละองค์ รวม 8 องค์ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นภายหลังเจดีย์สุวรรณจังโกฏ

ร่วมแสดงความคิดเห็น