ชุมชนแจ้คอน ทำเกษตรรักษ์ธรรมชาติ ปลูกพืชหมุนเวียนสร้างรายได้ นำอาชีพสู่ความยั่งยืน

ในช่วงหน้าแล้งแม้หลายๆ พื้นที่ของจังหวัดลำปาง จะประสบปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนน้ำ ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภครวมไปถึงเพื่อการเกษตร ทำให้พื้นที่หลายแห่งไม่สามารถที่จะทำการเพาะปลูกพืชผลใดได้ ขณะเดียวกันแต่ละพื้นที่ยังคงยึดหลักปฏิบัติทำการเกษตรตามแบบวิถีดั้งเดิม บริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ด้วยวิธีการเผา ซึ่งได้ยิ่งทำให้ผืนที่ดินแห้งแล้งขาดความอุดมสมบูรณ์ทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง
แต่ที่นี่ชุมชนบ้านแจ้คอน หมู่ที่ 2 ตำบลทุ่งผึ้ง อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง หนึ่งในพื้นที่ตัวอย่างที่ได้ทำการเกษตรแบบรักษ์ธรรมชาติ ปลอดการเผา หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี จึงทำให้ผืนที่ดินทำการเกษตรภายในชุมชนยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชผักทำสวนเกษตรกันได้ตามปกติ แม้จะเป็นช่วงหน้าแล้งที่มีน้ำสำหรับใช้เพื่อการเกษตรอย่างจำกัด โดยพบว่าในบริเวณแปลงผืนที่ดินกลางทุ่งนา เนื้อที่กว้างนับร้อยไร่ เกษตรกรได้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจไว้อย่างหลากหลาย จนทำให้ทั่วท้องทุ่งเต็มไปด้วยสีเขียวขจี
จากการสอบถามชาวบ้านที่ได้ทำการเกษตรอยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ทราบข้อมูลเบื้องต้นว่าผืนที่ดินทำการเกษตรแห่งนี้ เป็นแปลงที่นาของเกษตรกรรายย่อยในชุมชนบ้านแจ้คอน ที่ได้มีการรวมกลุ่มกันเป็นแปลงใหญ่ ประกอบอาชีพเพาะปลูกพืชผักจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งจะเน้นทำการเกษตรปลูกพืชระยะสั้นหลังเสร็จสิ้นจากการทำนาหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปตลอดทั้งปี

โดย น.ส.ประภาศรี หลีกเหลี่ยง ราษฎรชุมชนบ้านแจ้คอน หนึ่งในสมาชิกกลุ่มเกษตรกร ที่ได้ใช้ประโยชน์บนผืนแปลงที่นาดังกล่าว ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผืนที่ดินเพาะปลูกที่เห็นอยู่นี้ เป็นผืนที่นาของเกษตรกรในชุมชนบ้านแจ้คอนกว่า 300 ครัวเรือน รวมเนื้อที่กว้างประมาณ 200 – 300 ไร่ ซึ่งโดยปกติเกษตรกรจะใช้ทำการปลูกพืชหลัก คือ ข้าว ในช่วงฤดูฝน และจะแบ่งพื้นที่ปลูกผลไม้ “ฝรั่ง” เป็นอาชีพเสริม โดยเมื่อเสร็จสิ้นจากการทำนา ทางเกษตรกรจะมีการรวมกลุ่มช่วยกันปลูกพืชเศรษฐกิจหมุนเวียนระยะสั้น เช่น ถั่วแระ ผักกาดเขียวปลี และกระเทียม เป็นต้น เพื่อส่งจำหน่ายให้กับโรงงานในพื้นที่

โดยในส่วนของการเพาะปลูกนั้น เกษตรกรจะอาศัยหลักการตามธรรมชาติ นำเศษวัสดุเหลือทิ้งจากการทำนา ทั้งเศษฟางข้าว เศษวัชพืชต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยไม่มีการเผาทิ้ง ด้วยการนำมาปกคลุมพื้นที่แปลงปลูกสวนผักเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผืนดิน ทำให้เกษตรกรใช้น้ำในการเพาะปลูกพืชน้อยลง และเศษวัชพืชยังย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ธรรมชาติให้กับต้นพืชที่ปลูกด้วย ส่วนปุ๋ยที่ใช้ในการบำรุงต้นพืชก็จะเน้นใช้ปุ๋ยทางชีวภาพเป็นหลัก ซึ่งจากการทำการเกษตรด้วยการอาศัยหลักการตามวิธีธรรมชาติ ได้ช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตที่ดีตรงกับความต้องการของตลาด และมีต้นทุนในการผลิตต่ำ ทำให้มีผลกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยจากปีที่ผ่านๆ มา ในการปลูกพืชแต่ละชนิดเกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อพืชหนึ่งชนิด และหากเกษตรขยันก็จะมีรายได้รวมทั้งปีไม่น้อยกว่า 100,000 บาท/ปี

จากการทำการเกษตรโดยยึดหลักวิธีการตามธรรมชาติรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่เผา และไม่ใช้สารเคมี ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรในชุมชนบ้านแจ้คอน มีความสุขอยู่กับการประกอบอาชีพทำการเกษตร มีรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่องและยั่งยืน ตลอดจนยังมีสุขสภาพร่างกายที่แข็งแรงปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยมีผลการตรวจวัดปริมาณสารพิษตกค้างในร่างกายของหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่เมื่อครั้งที่ผ่านมา จะพบว่าชาวบ้านชุมชนบ้านแจ้คอน มีระดับสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายในปริมาณที่ต่ำมาก

ร่วมแสดงความคิดเห็น