พี่สาวหนุ่มโดนโจ๋รุมสกรัม! เผยอาการน้องชายยังน่าห่วง เตรียมเข้าพบ ตร.ขอเพิ่มข้อหาหนัก “พยายามฆ่า” ด้านมารดา ยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่ช่วงกลางดึกเวลา 01.30 น. วันที่ 6 ส.ค. 62 ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุวัยรุ่นทำร้ายร่างกายกัน ที่บริเวณริมทางคูเมือง หน้าวัดพวกช้าง ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส 1 ราย ทราบชื่อคือ นายชนุดม แสงวาว อายุ 22 ปี มีบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกทำร้ายที่บริเวณศีรษะ จนเจ้าหน้าที่ต้องส่งตัวเข้ารักษาอาการที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ พบว่ากลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุมีด้วยกันประมาณสิบกว่าคน ซึ่งต่อมาช่วงเย็นของวันที่ 16 ส.ค. 62 ก็ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้นฐาน “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส” ส่วนข้อหาอื่นๆ นั้นอาจจะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป ตามที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลไปแล้วนั้น
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ในวันนี้ทางผู้สื่อข่าวได้ทำการติดต่อไปหา น.ส.ณัฏฐกันย์ แสงวาว อายุ 27 ปี ซึ่งทราบว่าได้เดินทางไปเยี่ยมอาการน้องชาย ที่ตอนนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และทราบว่าขณะนี้อาการก็ยังน่าเป็นห่วง โดยตามร่างกายที่บาดแผลถลอกฟกช้ำ แต่ที่หนักคือที่บริเวณใบหน้าและศีรษะที่มีบาดแผลปูดบวมไปทั่ว รวมทั้งยังมีอาการเลือดคั่งในสมอง อีกทั้งยังไม่ได้สติต้องต่อสายยางและเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งทางแพทย์ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิดตลอด
โดยทาง น.ส.ณัฏฐกันย์ แสงวาว อายุ 27 ปี เปิดเผยว่าหลังการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนนี้น้องชายยังมีอาการน่าห่วง และยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ และในส่วนของการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้น ตนอยากให้มีการเพิ่มข้อหามากกว่านี้เป็นข้อหา “พยายามฆ่า” เนื่องจากหากตรวจสอบบาดแผลของน้องชายที่ได้รับบาดเจ็บนั้นจะพบว่ามีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย แต่ที่หนักสุดคือบริเวณศีรษะ โดยจะเห็นจากในคลิปว่า ผู้ก่อเหตุนั้นต้องการจะโจมตีแต่บริเวณศีรษะซึ่งถือว่าจงใจเอาชีวิต นอกจากนี้ในส่วนของตนและมารดาก็มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เป็นห่วงอาการของน้องชายจนไม่เป็นอันทำอะไร และตนใจฐานะเป็นพี่สาวก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่ต้องมาเกิดกับคนในครอบครัว
อย่างไรก็ตามอยากขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการกับกลุ่มผู้ก่อเหตุไปตามกฎหมาย แต่คดีนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่อุกอาจมาก และโชคดีที่น้องชายของตนไม่เสียชีวิต แต่หากเกิดเสียชีวิตขึ้นมาก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน และนอกจากนี้ในอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าน้องชายจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือกลายเป็นคนพิการขึ้นมา ครอบครัวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีให้กลุ่มคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด และขอให้สังคมช่วยขัดเกลากลุ่มคนเหล่านี้เพราะไม่อยากให้มันเกิดเหตุในลักษณะนี้ขึ้นอีก
ขณะที่ทางด้าน นางสาวจันทร์หอม ใหมคำ อายุ 47 ปี มารดาของนายชนุดม ผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่าหลังจากทราบว่าลูกชายถูกทำร้ายร่างกายจนอาการสาหัสปางตาย ก็ตกใจและไม่เป็นอันทำอะไร เพราะลูกชายก็ถือได้ว่าเป็นเสาหลักของบ้าน ที่กำลังเรียนหนังสือและทำงานหาเงินด้วย โดยในวันเกิดเหตุทราบว่าเป็นวันเงินเดือนออก ลูกชายจึงได้ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน แต่ไม่ทราบว่าได้ไปมีเรื่องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุได้อย่างไร เพราะตนยืนยันว่าลูกชายไม่เคยมีพฤติกรรมที่เป็นอัทธพาล หรือหาเรื่องหาราวใครก่อน และเวลาไปไหนมาไหนก็จะบอกกับตนตลอด อีกทั้งลูกชายก็กำลังจะได้รับสัญชาติไทยในอีกไม่กี่วันนี้ แต่ก็กลับต้องมาประสบเหตุจนอาการสาหัสต้องนอนโรงพยาบาลเช่นนี้ ส่วนกรณีที่ตนทราบมาว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุทั้งหมดได้แล้วนั้น แต่มีการแจ้งข้อกล่าวหาเพียงร่วมกันทำร้ายร่างกาย ตรงนี้ตนจะไม่ยอมเด็ดขาด เนื่องจากเป็นข้อหาที่เบาเกินไป เมื่อมาเห็นอาการบาดเจ็บของลูกชายที่สาหัสปางตาย และการกระทำลักษณะดังกล่าวก็เข้าข่ายพยายามฆ่าเลยด้วยซ้ำ เพราะกลุ่มผู้ต้องหาหมายเอาชีวิต รุมทำร้ายแต่เพียงบริเวณศีรษะ จนตอนนี้ลูกชายยังอาการน่าห่วงและไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จึงอยากขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พิจารณา และดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุให้มากกว่าข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย โดยหลังจากนี้ตนกับครอบครัวก็จะเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งหากคดีไม่คืบหน้า

ร่วมแสดงความคิดเห็น