บนเส้นทางสายสันติภาพ 2,955 กม. จากเชียงใหม่สู่คุนหมิง

มีคำกล่าวว่า “ธรรมชาติไม่เคยปราณีกับคนดื้อรั้น ธรรมชาติไม่เคยออมมือให้กับคนที่มุ่งหวังจะเอาชนะ ธรรมชาติต้องการสอนให้รู้ว่าความอดทน เวลาและการวางแผนเพื่อผจญกับอุปสรรคเท่านั้น ที่จะไปสู่จุดมุ่งหมายที่ใฝ่ฝันนั้นได้” สำหรับผมแล้ว คำกล่าวนั้นทำให้ประจักษ์อย่างชัดแจ้ง เมื่อมีโอกาสเดินทางไปบนเส้นทางสายสันติภาพ ตลอด 9 วันที่เดินทางเจอทั้งทางลาดชันขึ้นเขา ลัดเลาะไปตามหน้าผา บางช่วงของการเดินทางต้องข้ามผ่านลำห้วยหลายสาย หลายครั้งของการเดินทางต้องลงจากรถมาช่วยกันเข็น เนื่องจากหนทางนั้นเต็มไปด้วยโคลนเลนสำหรับผมและคณะร่วมเดินทางหลายคน เริ่มเข้าใจแล้วว่า ในความเป็นจริงนั้นโลกนี้ไม่ได้มีถนนให้รถวิ่งเฉพาะในเมืองเท่านั้น ยังมีถนนอีกหลายสายที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ไว้ให้กับคนที่ลุ่มหลงในการผจญภัย ตราบที่เรายังอยู่บนถนนสายนี้ ถนนสายชีวิตนี่อาจนับเป็นการเดินทางโดยรถยนต์อันยาวไกลที่สุดของผมกว่า 3,000 กิโลเมตร ข้ามผ่านพรมแดนประเทศถึง 3 ประเทศ ที่แตกต่างกันด้วยลัทธิทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง เพื่อย้อนทวนเส้นทางสายสันติภาพขึ้นไปเยี่ยมเยือน พี่น้องกลุ่ม “ไท” – “จีน” อันเป็นต้นตระกูลดั้งเดิมของคนไทย
บนเส้นทางสายสันติภาพสายนี้ น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส การเดินทางจากเชียงใหม่ ผ่านลาว สู่คุนหมิงในครั้งนี้ จึงเป็นการบุกเบิกเส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมต่อระหว่างไทยไปสู่จีน โดยมีจุดหมายปลายทางที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน จากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่เชียงราย ผ่านไปถึงชายแดนเชียงของบริเวณท่าเรือบั๊กก่อนจะลงแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขง ขึ้นท่าเรือที่บ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว จากบ่อแก้วต่อไปยังเมืองหลวงน้ำทา เส้นทางระหว่างนี้คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ระยะทางประมาณ 140 กม.
เมืองหลวงน้ำทาเป็นเมืองเล็ก ๆ ห่างจากชายแดนลาวที่บ้านบ่อเต็น ประมาณ 50 กม.วิถีชีวิตของคนลาวที่นี่ยังคงเงียบสงบอยู่ในแวดล้อมของธรรมชาติ กล่าวกันว่าหากต้องการจะดูวิถีชีวิตของคนเมืองใด ก็ให้ไปดูได้ที่ตลาดเช้า ก่อนเดินทางต้องแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม ป.ต.ท. ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันเพียงแห่งเดียวที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเข้าไปเปิดตลาดในหลวงน้ำทา น้ำมันของเมืองลาวจะต่างจากน้ำมันไทยคือ ดีเซล ราคาขายลิตรละ 7,690 กีบ หากคิดเป็นราคาไทย ราคาประมาณลิตรละ 30.76 บาท เบ็นซิน ราคาขายลิตรละ 9,190 กีบ ประมาณลิตรละ 36.76 บาท (1 บาทเท่ากับ 250 กีบ) จากหลวงน้ำทาต่อไปยังด่านชายแดนลาว – จีน ที่บ้านบ่อหาญ เพื่อให้ทันก่อนที่ด่านจะปิด
หลังจากผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านบ่อหาญแล้ว จึงออกเดินทางต่อไปยังเมืองหล้า ระยะทางจากด่านไปจนถึงเมืองหล้า ประมาณ 60 กม.ช่วงนี้ถนนเรียบขึ้น แต่เป็นถนนแบบจีนที่ก่อด้วยคอนกรีตยกพื้นสูงไม่มีไหล่ทาง ช่วงนี้ถนนค่อนข้างแคบและขรุขระมีรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งสวนทางตลอดสาย
เมืองหล้า เป็นเมือง 1 ใน 3 อำเภอของสิบสองปันนา อันได้แก่ อำเภอเมืองหล้า อำเภอเมืองไฮ และเมืองสิบสองปันนา ประชากรส่วนใหญ่ที่อาศัยเป็นชาวจีน ส่วนชาวไทลื้อจะสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณรอบ ๆ ตัวเมือง เมื่อเข้าสู่เมืองหล้า จะสังเกตุเห็นสองข้างทางเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวแบบจีน บางบ้านมีลักษณะคล้ายโรงเตี๊ยมในหนังกำลังภายใน ส่วนบริเวณตัวเมืองเป็นร้านค้าห้องแถว ขายสินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า บุหรี่ สุรา คณะคาราวานพักค้างแรมที่เมืองหล้า ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่เมืองคุนหมิง ว่ากันว่า หนทางข้างหน้านั้นอีกยาวไกล
รุ่งเช้าเรามุ่งหน้าสู่ทิศเหนือจากเมืองหล้าสู่คุนหมิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 717 กม. ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข G213 ไปยังเมืองซือเหมา ผ่านเมืองซิน เมืองลวง เมืองยาง จากนั้นต่อไปยังเมืองผู๋เอ่อ เข้าทางด่วนซูเปอร์ไฮเวย์ที่ด่านโม่เฮ จากโม่เฮสู่คุนหมิง ระยะทางประมาณ 500 กว่ากิโลเมตร ถนนช่วงนี้เป็นทางด่วนซูปเปอร์ไฮเวย์ตัดเป็นทางตรงยาว บางช่วงตัดผ่านทะลุเข้าไปในภูเขาหิน เป็นถนนที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อไม่กี่ปีนี่เองคุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน เมืองโบราณที่ตั้งขึ้นมากว่า 2,000 ปี อยู่บนที่ราบสูงจากระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร มีทะเลสาบเตียนฉือ ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ทำให้คุนหมิงมีอากาศเย็นสบายตลอดปี แม้ประชากรส่วนใหญ่จะเป็นชาวฮั่น แต่ก็มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ถึง 24 ชนชาติ
เมืองคุนหมิง เป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ครั้งศตวรรษที่ 14 เมื่อราชวงศ์หมิงเข้ามาตั้งถิ่นฐาน กระทั่งถึงศตวรรษที่ 17 เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและเกิดกบฏมุสลิมยาวนานต่อเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่ 19 จึงสงบ หลังจากนั้นชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายตั้งแต่ยุคนั้น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คุนหมิงพัฒนาไปหลายด้าน ความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมทำให้คุนหมิงเป็นเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยในประเทศจีน
คุนหมิงเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน อันมีเมืองจิ่งหง หรือ เชียงรุ่ง (สิบสองปันนา) เป็นเมืองรอง เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองคุนหมิงจะพบผู้คนเดินขวักไขว่ รถยนต์และรถจักรยานวิ่งปะปนกันบนท้องถนน ความสามารถในการขี่รถจักรยานของชาวคุนหมิงมีสูง โดยเฉพาะบริเวณสี่แยกสังเกตุว่ารถจะวิ่งหลบหลีกกันได้ ทั้ง ๆ ที่เรามองดูแล้วว่าจะต้องชนกันแน่การเดินทางอันยาวไกล กำลังจะจบลงทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวของประโยคแรกที่ว่า “ธรรมชาติไม่เคยปราณีกับคนดื้อรั้น ธรรมชาติไม่เคยออมมือให้กับคนที่มุ่งหวังจะเอาชนะ ธรรมชาติต้องการสอนให้รู้ว่าความอดทน เวลาและการวางแผน เพื่อผจญกับอุปสรรคเท่านั้น ที่จะไปสู่จุดมุ่งหมายที่ใฝ่ฝันนั้นได้” ผมนึกขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า อุปสรรคปัญหาที่แสนยากลำบากของการเดินทาง กลับเล็กน้อยลงถนัดตา เมื่อเทียบกับมิตรภาพที่ดีระหว่างการเดินทาง และยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นว่า ถนนทุกสายบนโลกนี้จะต้องเป็นถนนแห่งสันติภาพ
บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น