เมืองไทยน่าเที่ยว! เที่ยวเมืองชายทะเลตะวันออก ชลบุรี – พัทยา – ระยอง

เมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ รวมทั้งมีแหล่งชอปปิ้งที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ผู้หลงใหลกลิ่นอายทะเล อาจเคยมุ่งหน้าสู่ดินแดนภาคตะวันออก กล่าวกันว่านอกจากจะมีสถาน ที่ตากอากาศริมทะเลที่ใกล้กรุงเทพมากที่สุดแล้ว เมืองชายทะเลแห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามไม่แพ้ที่อื่น ๆ ชลบุรี ได้ชื่อว่าเป็นเมืองในฝันของใครหลาย ๆ คน มีสถานที่พักผ่อนริมทะเลที่ขึ้นชื่อหลายที่ทั้ง บางแสน ศรีราชา เกาะล้าน ซึ่งนักท่องเที่ยวรุ่นลายครามถือว่าในอดีตเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดคลาสสิคแห่งหนึ่งของเมืองไทย จากชลบุรีมุ่งหน้าสู่เมืองพัทยา เมืองที่หลายคนกล่าวว่าเป็นดินแดนของคนต่างถิ่น เพราะถ้าจะถามกันตรง ๆ ว่ามีคนพัทยาอาศัยอยู่ในเมืองนี้เท่าใด คงตอบได้ว่า…ไม่มากนัก คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพัทยา ล้วนแล้วแต่เป็นคนต่างถิ่นที่เข้ามาหากินอยู่ในเมืองนี้แทบทั้งสิ้น ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ผับ บาร์ หากเจ้าของไม่เป็นคนกรุงเทพแล้ว ก็เป็นของชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ดังนั้นพัทยาในช่วงหลัง จึงเป็นเมืองที่เติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันการลงทุนสูง ส่วนผลให้ค่าครองชีพในเมืองทะยานสูงขึ้นตามไปด้วย
ผมเองเห็นเมืองนี้แล้ว รู้สึกเฉย ๆ ไม่มีอาการตื่นเต้น ที่ผับบาร์มีให้เห็นเกื่อนชนิด “บาร์ชนบาร์” ทว่ากลับรู้สึกสงสารชาวเมืองพัทยา เพราะเคยมีเรื่องเล่า (ตลกปนจริง) ของเพื่อนนักเดินทาง 2 สาว ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตของคนพัทยา จึงพากันออกตระเวนแสงสีชมราตรี ของเมืองพัทยา โดยมิทันได้ระวังตัวเหมือนมีมือขนาดใหญ่เข้ามาโอบกอดเธอจากด้านหลังพร้อมด้วยลมหายใจแรง ๆ พลันเมื่อหันไปมองกลับพบว่าเป็นฝรั่งหนุ่มร่างใหญ่ เมื่อรวมสติได้เธอทั้งสองจึงพากันวิ่งหนีพร้อมตะโกนสวนกลับไปว่า “I’m not partner” ???ครั้นเมื่อมีโอกาสเดินทางไปเมืองพัทยาเมื่อไหร่ เรื่องราวขำขำอย่างนี้จึงมักผุดขึ้นในความรู้สึกเสมอ เพราะหญิงที่เดินในพัทยาส่วนใหญ่จึงถูกมองว่าเป็น “พาทเนอร์” หรือไม่งั้นก็ “สาวขายบริการ”
พัทยา วันนี้มีสถานบริการที่เรียกได้ว่า “ศิวิไลท์” ไม่แพ้กรุงเทพ ทั้งผับ บาร์ คาเฟ่ โรงแรม เกสต์เฮาท์มีให้เห็นเกื่อนเมือง แต่พัทยาก็ยังมีแหล่งที่สามารถดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวพัทยาปีหนึ่งหลายแสนคน จนชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ใครไปพัทยาแล้วไม่ได้ไป
เที่ยวที่อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา ถือว่าเชยสุด ๆ ที่นี่นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างสุดหาสุดตากว่า 100 ไร่ ภายในบริเวณตกแต่งด้วยสวนหินและสวนไม้หายาก สวยงามร่มรื่น มีพันธุ์ไม้ดัดนานาชนิด ไม้บอนไซที่ชนะเลิศการประกวดระดับ ประเทศจัดแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชม นอกจากนั้นยังมีต้นแบบไม้ดัดไทยสมัยอยุธยา อายุกว่า 200 ปี ตื่นตากับต้นไม้กลายเป็นหินแห่งเดียวในประเทศอายุกว่าล้านปี เหล่านี้ล้วนทำให้ผมเกิดอาการตื่นเต้นมากกว่าการได้เห็นผับ บาร์ เป็นไหน ๆอุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา ยังมีสวนสัตว์ขนาดย่อมให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ทั้งสัตว์ที่หาชมได้ยาก เช่น หมีเผือก ม้าเผือก วัวเผือก จระเข้เผือก ช้าง อูฐ สิงโต เสือโคร่ง หมี ม้าแคระ นกอีมู นกกระเรียน นกกระจอกเทศและกวางอีกหลากหลายพันธุ์ เรียกว่ามาที่นี่ เหมือนได้มากเที่ยวสวนสัตว์และชมความงามของหิน จากธรรมชาติอายุนับล้านปีว่างั้นเถอะ ไม่ไกลจากอุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สุดไฮเทค Under Water World ซึ่งจัดแสดงปลาทะเลและสัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ เกือบ 4,500 ตัว นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปสัมผัสสัตว์ทะเลแบบชนิดใกล้เหมือนเอื้อมถึง ด้วยอุโมงค์ใสที่ ยาวกว่า 100 เมตร ที่ Under Water World มีการแบ่งโซนอุโมงค์ออกเป็น 3 ส่วน คือ โซนปลาในแนวปะการัง พบปลาสวยงามหายากหลากสีสันหลายชนิด โซนปลาฉลาม เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัย และโซนเรืออัปปางจำลอง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เห็นสภาพ
จำลองของเรือที่จมลงสู่ใต้ทะเลและเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลาทะเลกลุ่มใหญ่ชนิดต่าง ๆ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชมความมหัศจรรย์ลี้ลับของโลกใต้ทะเล ไม่น่าพลาดที่จะแวะเข้าไปเที่ยวที่ Under Water World เปิดให้บริการตั้งแต่ 09.00 – 18.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด อัตราค่าบริการ ผู้ใหญ่ 180 บาท เด็ก 120 บาท
จากพัทยามุ่งหน้าสู่ระยอง จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของวรรณคดีชิ้นของสุนทรภู่เรื่องพระอภัยมณี นั่นคือเกาะแก้วพิศดารหรือเกาะเสม็ด ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องราวของเกาะเสม็ดและอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2519 เมื่อมีการเสนอข่าวของสื่อมวลชนว่า เกาะเสม็ดกำลังได้รับความทรุดโทรมเนื่องจากการทิ้งขยะของนักท่องเที่ยว ชาวบ้านบุกรุกแผ้วผางป่าเข้ามาสร้างเพิงพักและร้านาหารสำหรับบริการนักท่องเที่ยว ดังนั้นกรมป่าไม้จึงได้เข้ามาดำเนินการสำรวจข้อมูลของเกาะเสม็ดและประกาศพื้นที่บริเวณเกาะเสม็ดรวมถึงเนินเขาแหลมหญ้า ชายหาดแม่รำพึงและเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่ใกล้เคียงกับเกาะเสม็ดให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติ ก่อนที่จะยกฐานะเป็นอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2524 เกาะเสม็ดได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่ชายหาดแห่งนี้มีเนื้อทรายที่ขาวละเอียดราวกับเกล็ดน้ำตาล ขาวเสียจนคืนไหนที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์นวลผ่องจะส่องสะท้อนหาดทรายสีขาวสว่างไสวสุดลูกหูลูก
ตา เกาะเสม็ดยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนในฝันของหนุ่มสาวที่หัวใจพองโตไปด้วยความรักทั้งหลาย ทุกคนต่างปรารถนาว่าหากเมื่อใดที่มีความรักสักครั้งหนึ่งจะต้องพาหญิงสาวในดวงใจมานั่งดูดวงจันทร์ ฟังเสียงคลื่น โต้ลมทะเลกันที่เกาะเสม็ดเพียงลำพังสองคน..(ให้ตายจริง ๆ เถอะ)
โดยเฉพาะหาดท้ายเกาะที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก วันดีคืนดีเราจะเห็นหนุ่มสาวนั่งพุดคุยหยอกย้อภายใต้แสงจันทร์ ช่างเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกเหลือเกิน ชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด ไม่ได้โด่งดังเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม จนได้รับสมญาว่าเป็น “เพชรเม็ดเอกของทะเลฝั่งตะวันออก” เท่านั้น ที่บริเวณเกาะต่าง ๆ ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด ยังขึ้นชื่อในเรื่องปะการังที่สวยงาม โดยเฉพาะจะพบแนวปะการังในบริเวณรอบเกาะเสม็ด หมู่เกาะกูฏี และเกาะทะลุ บริเวณหินคันนาจะพบปะการังอ่อน ปะการังแผ่นตั้ง ปะการังพุ่มดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูน ส่วนบริเวณเกาะกุฏีจะพบปะการังเขากวางและปะการังพุ่มสกุล Acopora
ซึ่งบริเวณดังกล่าวเหมาะแก่การดำดูปะการังแบบ Skin Drive เกาะกุฏี เป็นเกาะหนึ่งในวรรณคดีของสุนทรภู่ อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะเสม็ด ห่างจากฝั่งประมาณ 6 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ การเดินทางไปเกาะนี้จะต้องอาศัยเรือเร็ว (Speed Boat) เป็นพาหนะในการเดินทาง เกาะกุฏีมีเกาะขนาดเล็กเป็นบริวาร 2 เกาะคือ เกาะท้ายค้างคาวและเกาะถ้ำฤาษี บนเกาะกุฏีเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ มีธรรมชาติที่เงียบสงบ หาดทรายสวยงาม บริเวณผานิลมังกรด้านทิศใต้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล การเดินทาง ไม่ว่าจะทัศนศึกษาหรือท่องเที่ยวไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ จึงไม่น่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนที่กินข้าว หรือการหาวิวสวย ๆ ประดับตัวเราในรูป แต่อย่างน้อยการท่องเที่ยวน่าจะให้ความรื่นรมย์ทางสติปัญญา เปิดหูเปิดตาให้กว้างไกล เพิ่มวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ในการมองโลกมองชีวิต ดังนั้น “ผลผลิต” ของการท่องเที่ยวก็คือคุณภาพใหม่ทางทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิดของนักเดินทาง
บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น