บทความดี ๆ จากสูตินารีแพทย์ หรือหมอทำคลอด ที่จะทำให้คุณเข้าใจชีวิตตนเองมากยิ่งขึ้น

เชื่อว่าทุกคนบนโลกใบนี้ เคยทะเลาะกับครอบครัวกันทั้งนั้น แต่จะทะเลาะแรงหรือไม่แรง หนักหรือไม่หนัก เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอกจริงไหม จะพ่อหรือแม่ แม้ว่าท่านจะเป็นผู้ให้กำเนิดเรา แต่ใช่ว่าท่านจะไม่เคยทำผิดพลาดเลย ชีวิตของท่านก็ต้องผ่านการเรียนรู้ในทุก ๆ วันเหมือนกับเราทุกคน ในวันที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ รู้สึกไม่เหลือใคร คุณลองมานั่งอ่านบทความดี ๆ ดู อาจช่วยให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้นก็ได้นะ
วันนี้ทาง “เชียงใหม่นิวส์” เรามีบทความดี ๆ จาก “สูตินารีแพทย์” มาให้ทุกคนได้ลองอ่านดูค่ะ ลองเสียเวลาอ่านสักนิด ไม่น่าเกิน 3 นาที เรารับรองว่าคุณจะเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นจริง ๆ ค่ะ
ห้องคลอดทุกห้อง
ต้องมีนาฬิกา อย่างน้อยหนึ่งเรือน
ถ้ามีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์การคลอด คุณจะเห็น พยาบาลคนหนึ่ง คอยเหลียวมองนาฬิกาเรือนนั้น ทันทีที่ทารกคลอดออกมา เธอจะขานเวลาบนหน้าปัดตัวเลขชั่วโมง-นาที จะไปปรากฏบนสูติบัตร ในช่องว่างหลังคำว่า เวลาคลอด และวันที่บนปฏิทินวันนั้น ก็จะไปปรากฏ อยู่บนบัตรประจำตัวอีกหลายใบ ในฐานะวันเกิด
วันที่ชีวิตหนึ่ง ถือกำเนิดขึ้นมา
ขณะที่พยาบาลขานเวลา แพทย์จะใช้ลูกยางสีแดง ดูดน้ำคร่ำ ที่อาจค้างอยู่ ออกจากปากและจมูกของทารก
หลังแน่ใจว่า ทารกหายใจเองได้ แพทย์จะใช้แคลมป์สองตัวหนีบสายสะดือไว้ รับกรรไกรที่พยาบาลยื่นส่งให้ จากนั้นจึงใช้มันตัดลงไป ระหว่างแคลมป์ทั้งสองตัว
ฉับ! เลือด 2-3 หยด กระเซ็นอาบ คมของกรรไกร
เลือดไม่กี่หยดนั้นเอง คือหลักฐานที่ช่วยยืนยันว่า “ชีวิตก่อนการเกิด” ของพวกคุณมีอยู่จริง
คนทั่วไปมักสับสนระหว่าง “รก” และ “สายสะดือ”
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั่งมาเป็นแพทย์
ผมจึงได้รู้ และได้เห็นว่า รก และสายสะดือ นั้นมีรูปร่าง และหน้าที่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
รก เป็นก้อนกลม ๆ นุ่ม ๆ แบน ๆ ดูคล้ายแผ่นพิซซ่า ขณะที่ สายสะดือ มีลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ คล้ายสปาเก๊ตตี้
รก แปะอยู่ที่ด้านในผนังมดลูกของแม่ โดยมีสายสะดือ ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างรกและทารก
ถ้ายังไม่เห็นภาพ ลองนึกถึงสารคดีวิทยาศาสตร์สักเรื่อง ที่นักบินอวกาศต้องลอยเคว้งคว้างอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก สภาพนั้นไม่ต่างกันนัก กับสภาพของทารก ในครรภ์มารดา
ขณะทารกน้อย กำลังลอยคว้าง ท่ามกลางน้ำคร่ำ ในโพรงมดลูก
สายสะดือ คือสิ่งเดียว ที่ยึดเหนี่ยวเขาไว้กับยาน “แม่”
ภายใน สายสะดือ คือเส้นเลือดหลายเส้น ทารกจะได้รับสารอาหารจากแม่ ผ่านเลือดที่ไหลเวียนในเส้นเลือดเหล่านี้
ขณะเดียวกัน ของเสียที่ทารกมี ก็จะถูกส่งผ่านเส้นเลือดเหล่านี้ กลับไปยังแม่ของเขา และเข้าสู่ระบบกำจัดของเสียของแม่ต่อไป
อาจพูดได้ว่า ช่วงหนึ่งในชีวิต เราทุกคนเคยดื่ม กิน ขับถ่าย และหายใจผ่านร่างกายแม่ของเรา
คนทั่วไป อาจเรียกมันว่า สายสะดือ แต่สำหรับผม มันคือ “สายสัมพันธ์”
สายสะดือ คือสิ่งยืนยัน ว่าชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ก่อนหน้าวันเกิดของเรา
เป็นชีวิตที่แตกต่าง จากที่เราเคยเข้าใจ
เป็นชีวิตที่ประกอบด้วย 2 หัวใจ กับ 1 สายสัมพันธ์
ในห้องคลอด ผมคือชายที่ถือกรรไกร
คุณอาจรู้สึกว่า ผมคิดมากเกินไป
แต่คุณรู้อะไรมั้ย กรรไกรในมือของผม กำลังจะเปลี่ยนชีวิตที่ปลายทั้ง 2 ข้าง ของสายสะดือ
วินาทีที่ผมกดคมกรรไกร นั่นคือวินาทีแรก ที่ 2 ชีวิต ต้องแยกจากกัน
หลังจากนั้น…
ทารกน้อยจะค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะหายใจ ด้วยปอดของเขาเอง
เรียนรู้ที่จะกินได้เอง ด้วยปากของเขา
ขับถ่ายได้เอง ด้วยระบบขับถ่ายของเขา
เขาจะค่อยๆ เติบใหญ่ มีความคิด มีการรับรู้ และมีการสร้างความเข้าใจโลกของตัวเองขึ้นมา
เขาจะเริ่มงอแง เมื่อบางอย่างไม่ได้อย่างใจ
เขาจะเริ่มหงุดหงิด เมื่อคิดว่า ไม่มีใครเข้าใจเขา
เขาจะเริ่มพูดว่า “แม่ไม่เคยเข้าใจผมหรอก” เขาจะเริ่มบอกว่า “แม่ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน”
และวันหนึ่ง เมื่อเติบโตจนถึงวัย เขาก็จะจากแม่ของเขาไป ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมอยากมีชีวิตของตัวเอง”
มาคิด ๆ ดู ทั้งหมดนี้ อาจเริ่มมาจากวินาทีที่คมกรรไกร ถูกกดลงไปบนสายสะดือ จากกรรไกร ทำให้ 2 ชีวิต ต้องจากกันไกล
เมื่อชีวิตหนึ่ง สามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้
สายสัมพันธ์ ก็ไม่ใช่ สายสำคัญ อีกต่อไป
มันกลายเป็น สายที่ไร้ประโยชน์
กลายเป็นสายที่ไร้ความหมาย
กลายเป็นสายที่เกินไป
กลายเป็น สายเกินไป…
สิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่แค่การตัดสายสะดือ
คุณอาจรู้สึกว่า ผมโทษตัวเองเกินไป แต่คุณรู้อะไรมั้ย หมออย่างผมนี่แหละ ที่เป็นคนทำลายหลักฐานว่า แม่และทารกเคยเป็นหนึ่งชีวิตเดียวกัน
แน่นอน ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น แต่โลกภายนอก ไม่ได้ต้องการสายสะดือเหมือนโลกในครรภ์
และด้วยเหตุนั้น แพทย์อย่างผม จึงมีหน้าที่ ต้องกำจัดมันไป
โดยทั่วไป ผมจะตัดสายสะดือให้เหลือตอสั้น ๆ ประมาณ 2 เซนติเมตร จากหน้าท้องของทารก
ซึ่งตอนี้ จะค่อย ๆ แห้ง และหลุดไป ไม่กี่วันหลังจากนั้น
สายสะดือส่วนที่เหลือ จะถูกส่งไปกำจัดพร้อมกับเศษเนื้อเยื่อ และชิ้นเนื้ออื่น ๆ ของโรงพยาบาล
นับจากวันนั้น เรื่องราวของ ชีวิตก่อนการเกิด ก็กลายเป็นเพียง อดีตที่สูญหาย เป็นเพียง ตำนาน ที่ไม่มีใครรู้ว่า เคยมีอยู่จริง
สายสะดือ ก็เลยกลายเป็นเหมือนสาย “ลับ”
สายลับ ที่คอยลักลอบส่งอากาศและอาหาร
สายลับ ที่ทำงานโดยไม่เคยเรียกร้อง หรือต้องการอะไร
สายลับ ที่ไม่เคยมีใคร เห็นหน้าค่าตา
เป็นสาย “เลือด” ที่น้อยคนนัก จะตระหนักว่า มันเคยมีอยู่จริง ๆ
การคิดว่า อยู่ ๆ ชีวิตก็เกิดขึ้นมาในวันเกิด
อาจทำให้คุณพลาดความหมายบางอย่างของชีวิตไป
เพราะความจริงแล้ว
ชีวิต ที่ไม่เคยถูกนับเป็น ส่วนหนึ่งของชีวิต
อาจเป็น ช่วงชีวิต ที่สำคัญที่สุด
ในชีวิตของคุณ ก็เป็นได้
ผมเขียนบทความนี้ เพื่อไถ่โทษให้กับการกระทำของตัวเอง
ผมคือชายถือกรรไกร ผมทำลายหลักฐานทุกอย่างของ ชีวิตก่อนการเกิด ของใครหลาย ๆ คน
แน่นอน ผมไม่มีหลักฐาน เป็นชิ้นเป็นอัน ที่จะพิสูจน์ สิ่งที่ผมเขียนมา ทั้งหมดนี้
อย่างไรก็ดี ผมอยากให้คุณ ได้เห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งผมหวังว่า มันคงช่วยยืนยัน สิ่งที่ผมเขียนมาได้บ้าง
ขอเพียงคุณ เปิดใจ มากพอ
เลิกชายเสื้อขึ้นดูสิครับ
สิ่งที่ผมพูดถึง คือสิ่งที่อยู่กลางท้องของคุณ
มองผ่าน คราบขี้ไคล ลงไป
ลองใช้มือ สัมผัสมัน ดูก็ได้
รู้สึกมั้ย นั่นแหละ ชีวิตก่อนการเกิด ของคุณ
ฉับ!
สำหรับคนทั่วไป เสียงกรรไกรครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงอะไรหลาย ๆ อย่าง
แต่สำหรับใครคนหนึ่ง เสียงนั้น ไม่ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรเลย
เพราะหลังจาก สายสัมพันธ์ เส้นนั้น ถูกตัดไป
ใครคนนั้น ก็ยังคงทำหน้าที่ส่งอาหาร จัดการเรื่องการขับถ่าย แม้กระทั่งดูแลเรื่องการหายใจให้กับใครอีกคน
อย่างที่เธอเคยทำ และทำมาตลอด
เพียงแต่ครั้งนี้ เธอทำมันผ่านสายสัมพันธ์ทางใจ
และเท่าที่ผมเห็นมา สายสัมพันธ์นี้ กรรไกรคมแค่ไหน ก็ไม่สามารถ ตัดมันให้ขาดจากกันได้
เป็นยังไงกันบ้างคะ อ่านจบแล้วได้ข้อคิดอะไรดี ๆ มามากเลยใช่ไหมค่ะ ยังไงก็อย่าลืมกลับไป “บอกรัก” ผู้มีพระคุณของคุณด้วยละ ดูแลท่านให้ดี เหมือนกับที่ท่านดูและคุณมา ใครที่ทำงานหรือไม่ค่อยกลับบ้าน ก็หาเวลาว่างกลับบ้าน ไปทานข้าวแบบครอบครัวสักวัน หรือเพียงแค่คุณหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาท่านบ้างก็ยังดีค่ะ สักวันหนึ่งจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง ในวันที่ทุกอย่างสายเกินไปค่ะ

เครดิต : นายแพทย์ คุณากรณ์

ร่วมแสดงความคิดเห็น