ตามรอยราชวงศ์เหงียน ไปเยือนอดีตราชธานีที่เมืองเว้-ฮอยอัน

“ภูไม่สูง น้ำไม่ลึก ชายเหลี่ยมจัด หญิงเสน่ห์ร้อนแรง” คือ คำจำกัดความที่คนเวียดนามมอบให้กับ “คนเว้” ด้วยภูมิประเทศของเว้เป็นทั้งเสน่ห์ชวนฉงน และเป็นจุดอ่อนโดยตัวมันเอง เพราะเว้มีด้านที่ติดทะเล ขณะเดียวกันก็มีที่ราบน้อยนิดอยู่ประชิดภูเขา จึงไม่เหมาะที่จะทำการเกษตรและอุตสาหกรรม ทรัพยากรสำคัญอย่างเดียวที่เว้มีอยู่ก็คือ ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นเมืองแห่งทะเล ภูเขาและแม่น้ำที่งดงามแล้ว เว้ยังเต็มไปด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานที่ราชวงศ์เหวียนสร้างสมไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแก่คนเวียดนามรุ่นหลัง

เมืองเว้ เป็นอดีตหัวเมืองสำคัญที่อยู่ตอนกลางของประเทศ เคยเป็นราชธานีเก่าและเป็นเมืองของกษัตริย์ในราชวงศ์เหงียนนครแห่งประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและวิทยาการที่สำคัญที่สุด “เว้” เป็นเมืองมีเสน่ห์และคุณค่าด้านความงามตามธรรมชาติตั้งอยู่บนชายฝั่งแม่น้ำหอม เมืองนี้มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ พระราชวังหลวงของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียน พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2348 ในสมัยยาลอง และได้รับการปฏิสังขรณ์อีก 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2377 และ พ.ศ. 2467 เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์เหวียน 13 พระองค์ พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นมรดกตกทอดอันยิ่งใหญ่และงดงามแห่งนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนความเชื่อของจีน

เมืองเว้ เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเวียดนาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาของพระราชวัง สุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน ตลอดจนป้อมปราการที่ตั้งสง่างามอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามไปบ้าง แต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองสมกับเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม แม้ว่าความเก่าแก่จะไม่เท่ากับเมืองหลวงอย่างฮานอยที่มีอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี แต่เมืองเว้กลับยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและโบราณสถานอันสง่างามไว้ได้อย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากชาวเวียดนามจะกล่าวว่า หากอยากรู้จักเวียดนามต้องมาเยือนเมืองนี้ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมือง

วัดเทียนมู ถือเป็นวัดที่มีความสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเวียดนาม โดยสร้างบนเนินดินตามศิลปะแบบจีนลักษณะเป็นทรงแปดเหลี่ยมสูง 21 เมตร ได้สร้างขึ้นตามความเชื่อพระพุทธศาสนามหายานศูนย์กลางนิกายเชนแห่งแรกของเว้ ภายในมีหอระฆังทรงหกเหลี่ยมที่มีน้ำหนักถึง 2,052 กิโลกรัม เชื่อกันว่าเมื่อตีระฆังแล้วเสียงจะดังไปไกลถึง 10 กิโลเมตร

จากเมืองเว้ เดินทางลงใต้สู่เมืองประวัติศาสตร์โบราณ เมืองฮอยอัน คนเวียดนามออกเสียงเป็น “โฮยอาน” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากดานังมากนัก ประมาณ 40 กม. ฮอยอันเป็นเมืองท่าค้าขายเก่าแก่ ซึ่งมีความรุ่งเรื่องมากในอดีต ต่อมาเมื่อสายน้ำเปลี่ยนทิศทาง เกิดการตื้นเขิน การค้าขายจึงมารุ่งเรืองที่ ดานังแทน

ฮอยอัน อยู่ห่างจากเมืองท่าดานังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาตอนในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร เมืองเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ฮอยอันปรากฏอยู่ในแวดวงของนักเดินทางตะวันตกในศตวรรษที่ 17 และ 18 แรกเริ่มเมืองฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าชายทะเลในอาณาจักรจามปา เรียกกันในชื่อว่า “ได๋เจียน” โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ตราเกียว และมีศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมี่เซิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฮอยอันมากนัก

สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ศตวรรษที่ 19 ชื่อของฮอยอันได้รับการบันทึกลงในการเดินเรือของชาติตะวันตกในชื่อ ไฟโฟ หรือไฮโป และมีชาวต่างชาติเดินเรือเข้ามามากมาย จนฮอยอันกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก จนเข้าสู่ราวครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เมืองแห่งนี้ก็โดนเผาราบคาบจากการสู้รบช่วงกบฏไตเซินเหวียนอัน ภายหลังเมื่อเข้าสู่ยุคเริ่มต้นราชวงศ์เหวียน เมืองฮอยอันก็ได้รับการสร้างใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบของอาคารบ้านเรือนอายุสองร้อยกว่าปีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ 19 แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน เนื่องจากตะกอนโคลนเลนสะสมจนไม่อาจนำเรือใหญ่เข้ามาได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นเมืองท่าแห่งใหม่แทนที่ฮอยอัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองฮอยอันก็เริ่มลางเลือนไปตามกาลเวลา ทว่ายังคงเป็นเมืองค้าขายเล็ก ๆ จนถึงปี พ.ศ. 2459 เส้นทางรถไฟระหว่างฮอยอันและดานังได้รับความเสียหายจากพายุ และไมได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม เมืองแห่งการค้าที่สำคัญ ซึ่งเคยต้อนรับชาวต่างชาติจึงยุบลง ปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโก ก็ได้ประกาศให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงามและเก่าแก่ของบ้านเมือง รวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังเมืองแห่งนี้ ประดุจน้ำในแม่น้ำทูโบนที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

การเดินทางมาเยือนดินแดนมังกรแห่งจีนตอนใต้ ที่ชื่อ “เวียดนาม” นับเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าเหลือคณานับ เพราะในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสมรภูมิสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ปัจจุบันได้พลิกโฉมกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ รอการพิสูจน์จากนักเดินทางให้เข้าไปสัมผัสถึงความงามแห่งศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติที่คงความบริสุทธิ์ วิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ เหล่านี้คือเสน่ห์ของดินแดนมังกรแห่งจีนตอนใต้ โดยเฉพาะ “เมืองเว้” อดีตราชธานีสำคัญของเวียดนามในครั้งนี้ จึงนับเป็นความทรงจำอันยากแก่การลืมเลือน

บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น