ย้อนอดีต 150 ปี เมืองลำปาง

เมืองลำปาง หรือเขลางค์นคร ในอดีตมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับเมืองเชียงใหม่และลำพูนมาโดยตลอด ลูกหลานของเจ้าวงศ์เจ็ดตนในนครลำปางได้มีอำนาจปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ในล้านนา และเป็นต้นสายตระกูล ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน และ ณ ลำปาง ซึ่งได้ร่วมพัฒนาบ้านเมืองและอนุรักษ์สืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่สืบต่อมาจนปัจจุบัน

ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา รัฐบาลกลางแห่งสยามได้มีนโยบายปฏิรูปการปกครองประเทศให้ทันสมัย ซึ่งในระยะแรกนั้นไม่ได้มีนโยบายที่จะยกเลิกฐานะเจ้าประเทศราชหรือตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร เนื่องจากหัวเมืองประเทศราชทางเหนือเคยปกครองบ้านเมืองอย่างค่อนข้างอิสระและมีสัมพันธ์อันดีต่อรัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ ตลอดมา แต่เนื่องจากหัวเมืองประเทศราชทางเหนือมีปัญหาสำคัญ 2 ประการ คือ เรื่องการให้สัมปทานป่าไม้ที่ซ้ำซ้อนกันและเรื่องความวุ่นวายในหัวเมืองชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาที่ขัดต่อผลประโยชน์ของอังกฤษที่กำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาทางพม่า รัฐบาลกรุงเทพฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปการปกครองในหัวเมืองเหนือ โดยดำเนินนโยบายรวมหัวเมืองประเทศราชทางเหนือ อันได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ

ปี พ.ศ. 2417 รัฐบาลกลางเริ่มส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ เข้ามาควบคุมดูแล และแก้ไขปัญหาในนครเชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน เรียกว่า “ข้าหลวง 3 หัวเมือง” มีหน้าที่ชำระคดีความที่เกี่ยวข้องกับคนในบังคับอังกฤษ และประสานงานกับรัฐบาลกรุงเทพฯ ต่อมาก็ได้ส่งข้าหลวงใหญ่ที่มีอำนาจเต็มเข้าไปปฏิรูปการปกครอง ปี พ.ศ. 2427 ได้ปฏิรูปหัวเมืองประเทศราชทางเหนือ เป็นช่วงต้นก่อนการจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ขณะนั้นหัวเมืองทางเหนือเรียกว่า “หัวเมืองลาวเฉียง” พ.ศ. 2435 ได้ปฏิรูประบบการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ทำให้นครลำปางที่มีฐานะเป็นเมืองประเทศราชต้องถูกลดบทบาทลงกลายเป็นหัวเมืองหนึ่งในมณฑลลาวเฉียง เช่นเดียวกับ เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ และน่าน ปี พ.ศ. 2442 นครลำปางอยู่ภายใต้การปกครองของมณฑลพายัพ ซึ่งเป็นการยกเลิกหัวเมืองประเทศราชทางเหนือ รวมเข้ามาเป็นดินแดนส่วนหนึ่งในพระราชอาณาจักรล้านนาไทยอย่างแท้จริง

ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จเยี่ยมหัวเมืองในมณฑลพายัพ เมื่อ พ.ศ. 2448 โดยเสด็จทางชลมารคไปขึ้นบกที่จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วทรงกระบวนม้า และช้างต่อไปยังเมืองแพร่ ลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ และลำพูน

ปี พ.ศ. 2458 เมืองลำปางได้ถูกแยกออกจากมณฑลพายัพไปขึ้นกับมณฑลมหาราษฏร์ ซึ่งประกอบด้วยเมือง ลำปาง แพร่ และน่าน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองแพร่ ต่อมาจึงได้รวมกับมณฑลพายัพ เป็นมณฑลภาคพายัพ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เปิดให้ประชาชนใช้บริการรถไฟสายเหนือจากกรุงเทพ-ลำปาง เป็นขบวนแรกเมื่อวันปีใหม่ของสยามตรงกับวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2459 ในสมัยนั้น มีเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตเป็นเจ้าผู้ครองนครลำปาง นอกจากนั้นในวันเดียวกันนี้เองยังถือเป็นวันที่มีการนำรถม้ามาให้บริการรับจ้างบนเส้นทางหลวงของมณฑลพายัพอีกด้วย จึงทำให้กิจการรถม้า และรถไฟมีบทบาทสำคัญต่อเมืองลำปางในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และการค้าที่สำคัญของภาคเหนือ

ปี พ.ศ. 2463 ได้เกิดอุทกภัยร้ายแรงน้ำป่าจากอำเภอวังเหนือและอำเภอแจ้ห่ม พัดพาเอาท่อนซุงไม้สักไหลลอยทำลายบ้านเรือนมากองรวมกันอยู่ที่บริเวณสะพานรัษฏาภิเษก และกาดกองจันนับหมื่นท่อน ทำให้เมืองลำปางเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก

ปี พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พร้อมด้วยพระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองต่าง ๆ ในมณฑลพายัพ พระองค์ได้เสด็จประทับที่เมืองลำปางและได้พระราชทาน พระแสงราชศัตราวุธชั้นสูงให้สำหรับชุบทำน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และเป็นที่สักการะแทนพระองค์

หลังจากที่เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย ในปี พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงมิได้โปรดเกล้าแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้นครลำปางได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเมืองที่เสียสละพระราชทรัพย์ส่วนตัวเพื่อถวายเป็นสาธารณประโยชน์ เช่น ยกคุ้มหลวงพร้อมที่ดินให้เป็นศาลากลางจังหวัด และมอบบ้านอีก 2 หลังให้เป็นที่ว่าการอำเภอเมืองลำปาง และกองกำกับการตำรวจภูธร มอบบ้านและที่ดินให้เป็นสถาบันการศึกษา คือ โรงเรียนบุญวาทย์ลำปางในปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2476 ทางราชการได้ประกาศยกเลิกการปกครองแบบมณฑลทั่วราชอาณาจักร นครลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดของประเทศไทยดังเช่นปัจจุบัน

บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น