(มีคลิป) ร้านข้าวซอยชื่อดัง แฉพฤติกรรม นทท.จีน กินอาหารที่ร้านจนอิ่มแล้วเชิดหนี

วันที่ 14 ก.พ. 63 รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่วานนี้ (13 ก.พ. 63) สมาชิกผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อว่า “Rooj Ltp” ได้โพสต์ภาพและข้อความ เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน จำนวน 3 คน เป็นชาย 1 คน และหญิงอีก 2 คน ได้เข้ามาใช้บริการรับประทานอาหารภายในร้าน ในช่วงสายของวันดังกล่าว แต่หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้ง 3 คน กลับเดินออกจากร้านและขึ้นรถยนต์ที่ได้เช่ามาขับออกไปอย่างหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าอาหารให้กับทางร้าน

จนกระทั่งทางเจ้าของร้านต้องขับรถไล่ตามไปจนเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว เพื่อขอให้ชำระเงินค่าอาหารในที่สุด โดยต่อมาทางร้านก็ได้นำภาพของกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมาโพสต์ เพื่อเป็นการเตือนภัยลงในโลกโซเชียล และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและแชร์เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเป็นจำนวนมาก ตามที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้นั้น

เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในเวลาต่อมาทางผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปทางเจ้าของโพสต์ดังกล่าว จนกระทั่งทราบชื่อ คือ นายลัทธพล กาวิชัย อายุ 28 ปี เจ้าของร้านข้าวซอยแม่สาย ตั้งอยู่ที่ 29/1 ถ.ราชพฤกษ์ ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โดยเจ้าตัวได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า เหตุการณ์ที่ได้โพสต์ไปในโซเชียลนั้น เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายเวลาประมาณ 09.30 น. ของเมื่อวานนี้ (13 ก.พ. 63) โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน 3 คน ที่ปรากฎในโพสต์นั้นได้เข้ามาทานอาหารที่ร้าน ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มี ผู้หญิง 2 คน เข้ามาก่อน และได้เข้าไปนั่งที่โต๊ะหมายเลข 3 ที่อยู่ภายในร้าน จากนั้นก็ได้มีการสั่งอาหาร และขอแจ้งกับทางร้านว่าจะขอมานั่งด้านนอก จากนั้นก็ได้มีการย้ายออกมา ไม่นานก็มีผู้ชายขับรถยนต์มาจอดหน้าร้าน แต่ทางร้านเห็นว่ารถคันดังกล่าวจอดขวางหน้าร้านของฝั่งตรงข้าม จึงขอให้ย้ายไปจอดเยื้อง ๆ กับร้าน จากนั้นต่อมาชายชาวจีนคนดังกล่าวก็เข้ามาทานอาหารที่ร้านกับหญิงชาวจีนที่มาก่อนหน้านี้ โดยตอนทานก็ไม่มีอะไรผิดปกติ โดยราคาอาหารที่ทั้ง 3 คน สั่งมาทั้งหมดตกอยู่ที่ 260 บาท

กระทั่งเมื่อทั้งหมดทานอาหารเสร็จ ได้มีหญิงสาวที่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะหันหน้าออกมาด้านนอกร้าน แล้วทั้งหมดก็ลุกขึ้นเก็บของอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเดินออกไปจากร้านแล้วไปขึ้นรถยนต์ที่จอดไว้ขับออกไปหน้าตาเฉย โดยตนและคนภายในร้านก็ได้มีการถามกันว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวได้จ่ายเงินค่าอาหารแล้วหรือยัง แต่ก็ไม่มีใครได้เก็บเงิน จึงได้ออกมาดูรถของนักท่องเที่ยวจีนที่ขับออกไปแต่ปรากฎว่าก็ไม่เจอรถคันดังกล่าวแล้ว จึงตัดสินใจที่จะตามไปเก็บเงินค่าอาหาร โดยได้แยกกันออกตามหา จนกระทั่งในเวลาต่อมาพ่อของตนได้ไปเจอรถของนักท่องเที่ยวดังกล่าวที่บริเวณทางเข้าคูเมืองหน้าร้านพาวเวอร์บาย ใกล้กับแจ่งหัวริน โดยรถคันดังกล่าวกำลังจะขับเลี้ยวซ้าย ทางพ่อของตนก็ได้ขับรถไปดักแล้วจอดขวางเพื่อไม่ให้ไป และได้ไปพูดจาเนื่องจากพ่อของตนพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ จึงพูดเป็นภาษาไทยไปว่า “กินแล้วไม่จ่ายเงิน” พร้อมทั้งขอให้กลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวจ่ายเงินตามจำนวนอาหารที่กินไปเป็นเงิน 260 บาท และเมื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวเห็นพ่อของตนทำน้ำเสียงขึงขังก็ได้ควักเงินให้แล้วขับรถออกไป โดยที่ไม่มีการพูดจาหรือกล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

นายลัทธพล กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดกับร้าน แม้ว่าที่ผ่านมาก็เคยมีเหตุการณ์ที่ลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่มาอุดหนุนจะลืมจ่ายเงินก็ตาม แต่ในเวลาต่อมาเมื่อทางลูกค้ารู้สึกตัวหรือนึกขึ้นได้ก็จะกลับมาจ่ายเงิน พร้อมทั้งขอโทษกับทางร้าน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่กับในกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันต่างออกไปจากพฤติกรรมของลูกค้าคนอื่นที่ผ่าน ๆ มา เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มนี้มากัน 3 คน ซึ่งหลังกินเสร็จก็น่าจะมีการทักท้วงกันว่าได้จ่ายเงินแล้วหรือไม่ หรือก็ต้องสอบถามกับทางร้าน แต่ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ทำ คือ ไม่มีการสอบถามแต่อย่างใด อีกทั้งก็ยังลุกออกไปจากร้านอย่างเร่งรีบ จึงทำให้ตนไม่มั่นใจว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ตั้งใจจะกินแล้วไม่จ่ายเงินหรือว่าแค่ลืมเฉย ๆ อีกทั้งหลังจากที่ติดตามไปเจอและทวงค่าอาหาร กลุ่มนักท่องเที่ยวก็ไม่มีการแสดงความขอโทษ

อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ที่ตนได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มาเผยแพร่โพสต์ลงในโซเชียลก็เพราะต้องการเตือนเพื่อน ๆ หรือร้านค้าที่รู้จักกัน ที่มีร้านอาหารหรือเปิดให้บริการในลักษณะเช่นนี้ ให้ระมัดระวังนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว เพราะอาจจะไปก่อเหตุหรือกระทำการในลักษณะเช่นนี้อีก และอาจจะไม่รู้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ตั้งใจทำจริงหรือไม่ และอาจจะมีเหตุกาณณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นกับร้านอื่นๆ อีก จึงได้โพสต์ไปเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์และเตือนให้มีการตรวจสอบให้ดีด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น