ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เพิ่มกำลังมอเตอร์ไซด์วิบากใช้ลาดตระเวนในป่าลึก รวมทั้งใช้ร่มบิน และโดรนจิตอาสา

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เพิ่มกำลังมอเตอร์ไซด์วิบากใช้ลาดตระเวนในป่าลึก รวมทั้งใช้ร่มบินและโดรนจิตอาสา ช่วยกดดันผู้ที่จะเข้าไปเผาป่า หากพบจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดวันที่ 22 มีนาคม 2563 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ ประชุมศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เพื่อประเมินสถานการณ์และปรับแผนการปฏิบัติงาน ซึ่งจากการรายงานจุด Hotspot ของจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเช้าวันนี้ พบจุดความร้อน จำนวน 230 จุด โดยพบในพื้นที่ป่าสงวน 78 จุด ป่าอนุรักษ์ 149 จุด ชุมชนและอื่น ๆ 2 จุด โดยเกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอพร้าว จำนวน 44 จุด ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลแม่แวน 19 จุด จึงได้ประสานขอรับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ MI 17 ของกองทัพบกเข้าดับในพื้นที่อำเภอพร้าวติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เนื่องจากบริเวณที่เกิดจุด hotspot เป็นหน้าผาสูงชัน ยากต่อการเข้าถึงของชุดปฏิบัติการดับไฟป่าภาคพื้นดิน อีกทั้งในพื้นที่มีเชื้อเพลิงหนาแน่นด้วย ขณะที่ เครื่องบิน BT – 67 กองทัพอากาศ ยังคงปฏิบัติภารกิจบินโปรยน้ำลดฝุ่นควันจำนวน 2 เที่ยวบิน บริเวณคูเมืองเชียงใหม่ 2 เที่ยวบิน เพื่อโปรยน้ำบรรเทาปัญหาฝุ่นควันในตัวเมืองเชียงใหม่อีกทางหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ ยังคงเน้นย้ำการลาดตระเวน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ลดปัญหาการเผาป่า มากกว่าที่จะไปไล่ดับไฟ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต่างเหนื่อยล้ากันมาหลายวัน โดยขอให้มีการสับเปลี่ยนกำลังเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อกดดันผู้ที่จะเข้าไปเผาในพื้นที่ป่า ซึ่งชุดลาดตระเวนประจำหมู่บ้านนั้น จะมีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นหัวหน้าชุด และปฏิบัติงานร่วมกับกำลังทหาร ตำรวจ ชรบ. ฝ่ายปกครอง จิตอาสา รวมทั้งดึงคนที่หาของป่าในพื้นที่เข้ามาร่วมเป็นชุดลาดตระเวนด้วย ซึ่งในทุกเช้าจะมาประเมินสถานการณ์เพื่อวิเคราะห์พื้นที่ที่จะเข้าไปลาดตระเวน โดยใช้รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ และการเดินเท้า นอกจากนี้ จะเพิ่มการใช้มอเตอร์ไซด์วิบาก ไว้เข้าลาดตระเวนในพื้นที่ป่าอุทยานฯ และการได้รับความร่วมมือจากชมรมร่มบินเชียงใหม่ และทีมโดรนจิตอาสา ที่เข้ามาช่วยบินสำรวจจุดความร้อน และชี้พิกัดให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดับได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกันยังเป็นการป้องปราบและกดดันผู้ที่คิดจะเผาป่า หากพบผู้กระทำผิดจะถ่ายไว้ แล้วนำมาส่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือหอกระจายข่าวในทุกหมู่บ้าน ใช้เสียงตามสายประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจในมาตรการห้ามเผาในที่โล่งเด็ดขาด และผลกระทบจากการเผา รวมทั้งมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้ว 277 ราย แยกเป็นสาธารณสุข 25 ราย ป่าไม้ 184 ราย จราจร 68 ราย เปรียบเทียบปรับ 82 ราย เป็นเงิน 34,800 บาท แยกเป็นสาธารณสุข 12,600 บาท ป่าไม้ 2,500 บาท จราจร 19,700 บาท (ข้อมูลวันที่ 21 มี.ค.63) โดยเป็นมาตรการที่สำคัญที่จะป้องปราบผู้ที่จะกระทำผิดให้เด็ดขาด

ร่วมแสดงความคิดเห็น