สถานการณ์โควิด-19 เชียงใหม่ไม่พบผู้ป่วยเพิ่ม พร้อมยืนยันเดินทางข้ามจังหวัดได้

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 26 มี.ค. 2563 ที่ห้องศูนย์ข้อมูลข่าวสารเฉพาะกิจ จังหวัดเชียงใหม่ (ศ.ข.ฉ.ก.) ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.อ.วิสุทธิ์ พุ่มจันทร์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายแพทย์กิตติพันธุ์ ฉลอม ผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำการดแถลงข่าวนผ่านช่องทางไลฟ์สดในเฟซบุ๊ก เพจข้อมูลข่าวสารเฉพาะกิจ จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำวันที่ 26 มี.ค. 2563 เพื่อแจ้งข้อมูลความคืบหน้าของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ให้พี่น้องประชาชนทราบโดยทั่วกัน ตามมาตรการของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ ในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่กระจายและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยทาง พ.ต.อ.วิสุทธิ์ พุ่มจันทร์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการที่ทางตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับคำสั่งจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการตั้งจุดคัดกรองผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากพื้นที่จังหวัดอื่น ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งเขตติดต่อของแต่ละจังหวัด ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งให้ตั้งจุดตรวจคัดกรองทั้งหมด 6 จุดตรวจด้วยกัน เป็นจุดตรวจคัดกรองที่เดินทางมาจากจังหวัดลำพูน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงราย โดยมีจุดตรวจคัดกรองที่หน้าปั๊ม ปตท.เขตอำเภอสารภีขาเข้า ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์, จุดตรวตคัดกรองหน้า สภ.ดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด, จุดตรวจคัดกรองตู้ยาม ต.ท่าตอน อ.แม่อาย ซึ่งคัดกรองผู้เดินทางจากจังหวัดเชียงราย, จุดตรวจตู้ยามทางหลวงฮอด ซึ่งคัดกรองผู้เดินทางจากจังหวัดแม่ฮอ่องสอน, จุดตรวจตู้ยามบ้านไร่ อ.แม่แตง, จุดตรวจตู้ยามท่าเดื่อ อ.ดอยเต่า ซึ่งคัดกรองผู้เดินทางจาก อ.ลี้ จ.ลำพูน โดยผลการปฏิบัติได้เริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนของเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งยังเป็นไปด้วยดี และยังไม่มีการตรวจพลผู้ที่มีอุณหภูมิผิดปกติแต่อย่างไร และส่วนมากก็ได้มีการแนะนำ รวมทั้งหากมีการตรวจพบผุ้ที่มีอุณหภูมเกิน 37.5 องศาฯ ก็จะมีการนำส่งทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขดำเนินการต่อไป

รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนของกรณีคำถามที่ว่า ประเด็นด่านตรวจผู้โดยสารที่ผ่านด่านตรวจแล้วไม่มีหน้ากากอนามัยจะถูกดำเนินการปรับ 200 บาทนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากด่านตรวจได้มีการจัดตั้งเมื่อเวลา 24.00 น. หรือเที่ยงคืนที่ผ่านมา และเป็นการแนะนำและคัดกรอง โดยเจ้าหน้าที่จะมีเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ และสอบถามเกี่ยวกับอาการคล้ายการติดเชื้อหรือไม่ และหากตรวจพบก็จะมีการส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขดำเนินการต่อ ส่วนคำถามที่บอกว่ากรณีเดินทางข้ามจังหวัดสามารถเดินทางได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าได้ แต่จริง ๆ แล้ว ได้ขอความร่วมมือว่าหากไม่จำเป็นจริง ๆ ขออย่าเดินทางข้ามจังหวัด แต่หากมีความจำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด โดยยังสามารถเดินทางได้ และขอให้พกหลักฐานประจำตัวทุกครั้ง ร่วมถึงเวลาเดินทางแม้จะอยู่ในรถส่วนตัวก็ตามควรจะสวมหน้ากาอนามัยด้วยและหากรู้ตัวว่ามีอาการป่วยก็ขอให้งดการเดินทางก่อน

ขณะที่ทางด้าน นายแพทย์กิตติพันธุ์ ฉลอม ผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงสถานการณ์ของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า สำหรับสถานการณ์ในภาพรวมของประเทศขณะนี้พบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้น 111 ราย ตามที่ทางกระทรวงสาธารณสุขได้มีการแถลงมาเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา และมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมทั้งหมดในประเทศไทย 1,045 ราย ส่วนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตอนนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 15 ราย หลังจากที่ได้มีการแจ้งไปเมื่อวาน และในจำนวน 15 ราย กลับบ้านไปแล้ว 1 ราย ส่วนอีก 14 รายที่ตรวจพบ ในขณะนี้ยังคงรับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และไม่มีผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงใหม่ และทั่ง 14 รนายที่รักษาอยู่พบว่ามีอาการไม่มาก สำหรับผุ้ป่วยที่ติดเชื้องทั้งหมดที่มีการยืนยันทั้ง 15 ราย มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด ซึ่งมีจำนวน 4 ราย 1 รายมาจากประเทศจีนที่ได้รักษาหายและเดินทางกลับไปแล้ว ส่วนอีก 2 รายมาจากประเทศอังกฤษ และอีก 1 รายมาจากสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนกลุ่มที่สองเป็นผุ้ป่วยที่เดินทางมาจากพื้นที่ กทม.โดยรายที่ 1 มีประวัติเดินทางไปที่ค่ายมวย และอีก 1 ราย พักอาศัยอยู่ที่ค่ายมวย และกลุ่มที่สาม อีก 9 ราย เป็นกลุ่มที่มีการติดต่อมาจากผู้ป่วยที่นำเชื้อเข้ามาจาก กทม. แบ่งเป้น 7 ราย

สำหรับในส่วนของการดำเนินมาตรการสอบสวนโรค ซึ่งพบว่ามีหลักฐานว่าอาจจะเกิดการระบาดขึ้นคือที่ร้าน “เทคอิท” โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ขอความร่วมมือทางพี่น้องประชาชนเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนที่เคยเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวในระหว่างวันที่ 8-18 มี.ค. 2563 ได้ขอให้สังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน โดยหากมีอาการผิดปกติมีไข้ ประกอบกับมีอาการไอ เจ็บคอ น้ำมูก หรือหายใจหอบเหนื่อย ต้องไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ส่วนอีก 1 กลุ่มที่มีการสอบสวนโรคแล้วพบมีความเชื่อมโยงแล้วต้องเฝ้าระวังเพิ่มเติมคือผู้ยืนยันที่มีการแถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ที่มีการเดินทางมาจาก กทม. คือผู้เดินทางสายการบินแอร์เอเชีย ไฟล์ FD-3431 เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2563 โดยขอให้มีการสังเกตอาการตัวเองนับตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. 2563 จนถึงวันที่ 1 เม.ย. 2563 หากมีอาการไข้ ร่วมกับทางเดินหายใจก็ให้ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติเสี่ยง

ร่วมแสดงความคิดเห็น