ไล่ล่า “ไอ้ไข่” ฆาตกรโหด ยิงสาวหม้าย และเพื่อน เอาศพยัดถุงทิ้งสวนหลังบ้าน พบจดหมายสั่งเสีย “อย่ามายุ่งกับคนมีเจ้าของ”

วันที่ 26 พ.ค. 63 รายงานข่าวแจ้งว่า ความคืบหน้ากระณีเหตุฆาตรกรรมโหดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จากการที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่แตง ได้รับแจ้งเหตุพบศพคนเสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 40 ม.6 ต.สบเปิง อ.แม่แตง เมื่อช่วงเย็นของวานนี้ (25 พ.ค. 63) และจากการตรวจสอบทราบว่าผู้เสียชีวิตเป็นหญิงทราบชื่อคือ นางมน (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี สาวหม้ายเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว และอีกศพเป็นชายทราบชื่อคือ นายเจริญ (นามสมมุติ) อายุ 50 ปี สภาพศพทั้งสองรายถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่บริเวณท้ายทอย และนำศพมาห่อถุงพลาสติกโยนทิ้งไว้บริเวณป่าหลังบ้าน ส่วนสาเหตุการก่อเหตุนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะมาจากปมชู้สาว และปมหึงหวง เนื่องจากฝ่ายหญิงผู้เสียชีวิตนั้นเป็นคนหน้าตาดีมีผู้ชายมาติดพันหลายคน อีกทั้งพบหลักฐานภายในโทรศัพท์ฝ่ายหญิงผู้เสียชีวิตที่มีการแชทหาผู้เสียชีวิตฝ่ายชายในลักษณะลวงให้มาหา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนร้ายที่ก่อเหตุ

อ่านข่าวก่อนหน้าได้ที่ :

ขณะที่ต่อมา ช่วงสายของวันนี้ ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.อ.สุคนธ์ ศรีอรุณ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่พสูจน์หลักฐานเชียงใหม่ ได้นำกำลังเข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุเพิ่มเติมอีกครั้ง และพบเบาะแสเพิ่มเติม เป็นหัวกระสุนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุตกอยู่บริเวณริมระเบียงหน้าบ้านของหญิงผู้เสียชีวิต อีกทั้งจากการสอบถามพยานแวดล้อม ซึ่งเป็นมารดาวัย 60 ปี ของหญิงผู้เสียชีวิตที่อาศัยอยู่บ้านอีกหลังห่างจากบ้านของหญิงผู้เสียชีวิตไปประมาณ 30 เมตร ทราบว่า ผู้ต้องสงสัยที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้น่าจะเป็น “นายไข่” ชายหนุ่มอายุประมาณ 43 ปี ที่มีบ้านพักอยู่ในตำบลอินทขิล ซึ่งได้มาติดพันกับลูกสาวได้ประมาณ 1 ปีกว่า และมักเข้าออกบ้านของลูกสาวบ่อยครั้ง และเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 24 พ.ค. 63 ก็ยังเห็น “นายไข่” มาที่บ้านของลูกสาว ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไรร่องรอย และพบลูกสาวเสียชีวิตกับศพเพื่อนชาย บริเวณหลังบ้าน

ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุด ทางด้าน พ.ต.อ.สุคนธ์ ศรีอรุณ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลของผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุรายนี้มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด หลังก่อเหตุได้หลบหนีไปยัง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังไล่ติดตามจับกุมตัว คาดว่าน่าจะได้ตัวเร็ว ๆ นี้

ส่วนประเด็นการสังหาร ทางตำรวจตั้งไว้ 2 ประเด็น คือเรื่องชู้สาว กับเรื่องหักหลังธุรกิจมืด เนื่องจากคนร้ายนั้นรู้จักกับผู้เสียชีวิตเป็นอย่างดี และนอกจากนี้จากการสอบสวนพยานแวดล้อมทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 63 ตรงกับวันเสาร์ ผู้ต้องสงสัยได้มาหาผู้เสียชีวิตที่บ้าน อ้างว่ามาตัดหญ้า มาทำความสะอาดบ้าน โดยแม่ของผู้เสียชีวิตเห็นว่าผู้ต้องสงสัยเป็นคนรู้จักกัน จึงได้ให้กุญแจรีโมต เปิดประตูบ้าน พอตกตอนดึกผู้ต้องสงสัยได้มีปากเสียงกับผู้เสียชีวิต จากนั้นนั้นเสียงก็เงียบไป

จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ นายเจริญ (นามสสมุติ) ได้มาหาผู้เสียชีวิตฝ่ายหญิงที่บ้าน จนกระทั่งตกตอนเย็นมีคนพบศพทั้งสองนอนเสียชีวิตในลักษณะยัดถุงขยะเพื่ออำพรางศพ และยังพบหลักฐานโทรศัพท์มือถือที่ผู้เสียชีวิตฝ่ายหญิงทักไปหา นายเจริญ (นามสมมุติ) ฝ่ายชายให้มาหา แต่เป็นช่วงเวลาที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุเป็นคนพิมพ์ทักไปหาเพื่อลวงให้เดินทางมาหาแล้วลงมือฆ่าทิ้งในเวลาต่อมา เพราะภายในบ้านพบร่องรอยคลาบเลือดหลายจุด ตั้งแต่บริเวณหน้าบ้าน ในบ้าน และร่องรอยคลาบเลือดลักษณะลากศพหรืออุ้มศพมาห่อด้วยถุงพลาสติก

อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบตัวว่า “นายไข่” น่าจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการฆาตรกรรมผู้เสียชีวิตทั้งสองรายแล้วนั้น ก็ได้มีการติดตามตัวไปที่บ้านของ “นายไข่” ในพื้นที่ตำบลอินทขิล แต่ก็ไม่เจอตัวและทราบว่าได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และได้ทิ้งจดหมายที่เขียนสั่งเสียไว้ บอกกับภรรยา 2 คน ให้แบ่งเงินเก็บที่มีอยู่และทรัพย์สินอื่น ๆ ให้กับภรรยาและลูก พร้อมบอกในจดหมายด้วยว่า “อย่ามายุ่งกับคนมีเจ้าของ” ซึ่งจดหมายดังกล่าว บ่งชี้ค่อนข้างชัดเจนถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุ ขณะนี้ตำรวจเร่งรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาล และเร่งติดตามไล่ล่าตัว “นายไข่” เพื่อนำตัวมาสอบสวนต่อไป

ขณะที่ช่วงค่ำวันนี้ ทางด้าน พ.ต.อ.สุคนธ์ ศรีอรุณ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ แจ้งว่า ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการไล่ล่าติดตามและจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยคือ “นายไข่” ได้แล้วในพื้นที่ อ.เชียงดาว โดยทางผู้ต้องสงสัยได้หลบหนีไปกบดานบ้านญาติในพื้นที่ดังกล่าวและขณะนี้กำลังดำเนินการควบคุมตัวมาสอบสวนเพื่อให้ทางผู้ต้องหารับสารภาพ จากนั้นก็จะทีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อ่านข่าวต่อได้ที่ :

ร่วมแสดงความคิดเห็น