เจ้าของนิตยสารชื่อดังเชียงใหม่ หอบหลักฐานเปิดโปงลูกจ้างสาว แฮกบัญชี ใช้แอพโอนเงินเกือบ 4 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ภ.5 ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว น.ส.เจษฎาภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ชาว ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และ นายอธิบดี (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาว ต.หนองแหย่ง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้ก่อเหตุ แอบทำการแฮกข้อมูลบัญชีธนาคารนายจ้าง แล้วดำเนินการโอนเงินในบัญชีดังกล่าวเข้ามายังบัญชีของตัวเอง โดยการใช้แอปพลิเคชัน AIRPAY จำนวนกว่า 115 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงวันที่ 19 เม.ย. 63 จนถึง 11 มิ.ย. 63 เป็นเงินมูลค่าทั้งหมด 3,975,841 บาท ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่า ได้อาศัยช่องทางที่ผู้ต้องหาทำงานเป็นฝ่ายเอกสารให้กับนายจ้าง และได้นำข้อมูลที่เป็นของนายจ้างทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบัญชีธนาคาร รวมทั้งรหัสพาสเวิร์ดบัญชีธนาคาร ทำการโอนเงินในบัญชีนายจ้างมาเข้าบัญบัญของตัวเองและแฟนหนุ่ม จนกระทั่งต่อมาทางนายจ้างได้ทำการแจ้งความและถูกจับกุมได้ในที่สุด ตามที่ปรากฎข่าวไปแล้วนั้น

อ่านข่าวก่อนหน้าได้ที่ : (มีคลิป) รวบลูกจ้างสาวแสบ ร่วมกับแฟนหนุ่ม แฮกบัญชีนายจ้าง

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ช่วงเย็นวันที่ 25 มิ.ย. 63 ที่ผ่านมา ทางด้าน นางสาวภิมทร์ เขมะสิงคิ อายุ 46 ปี เจ้าของนิติยสารชื่อดังในเชียงใหม่ ผู้เสียหาย ได้เดินทางมาพบกับทาง ร.ต.อ.อมรชัยตรัง วัชรกุล รอง สว.(สอบสวน) สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์เมืองเชียงใหม่ เพื่อนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีความมาแสดงให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลังจากที่ตนได้ทำการแจ้งความไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งทำการชี้ตัวยืนยันว่า น.ส.เจษฎาภรณ์ (สงวนนามสกุล) เป็นลูกน้องที่ทำงานในบริษัทของตนจริง และได้มีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับทางผู้ต้องหา


ทั้งนี้ทางด้าน นางสาวภิมทร์ เขมะสิงคิ ผู้เสียหาย ได้เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ตนก็รู้สึกตกใจมากที่ทางผู้ต้องหาซึ่งเป็นลูกน้องของตนได้มาก่อเหตุแบบนี้ และรู้สึกช็อคมากที่เงินในบัญชีที่มีอยู่เกือบ 4 ล้านบาทหายไป โดย น.ส.เจษฎาภรณ์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหานั้นได้ทำงานกับตนมาประมาณ 2 ปี และตนก็มีความไว้เนื้อชื่อใจพอสมควร จึงได้ให้ทำงานในส่วนของฝ่ายเอกสาร แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางผู้ต้องหานั้นแอบเอาข้อมูลและรหัสผ่านไปทำการแฮกเปลี่ยนแปลงข้อมูล จนกระทั่งสามารถโอนเงินในบัญชีของตนออกไปได้อย่างไร และก่อนที่ผู้ต้องหาจะถูกจับก็ยังมาทำงานหน้าซื่อตาใส เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งตนมาทราบว่าเงินในบัญชีหายไปและพบว่า ลูกจ้างของตนได้ร่วมกันกับแฟนหนุ่มก่อเหตุดังกล่าว จนกระทั่งถูกทางเจ้าหน้าที่จับกุมในที่สุด อย่างไรก็ตามในส่วนของการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนนั้น ตนก็ขอให้เป็นไปตามหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและให้เป็นไปตามกฎหมาย

ส่วนเงินในบัญชีของตนที่ผู้ต้องหาก่อเหตุแฮกและโอนไปในบัญชีรวมมูลค่าทั้งหมด 3,975,841 บาท ของตนตอนนี้ก็ได้หายเกลี้ยงไปหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้ตนก็กำลังรวมรวมหลักฐาน เพื่อเข้าทำการเจรจากับทางธนาคารที่นำเงินไปฝากไว้ เพื่อให้มีการดำเนินการติดตามหรือเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

ร่วมแสดงความคิดเห็น