(มีคลิป) “กรมเจรจา ฯ ” มั่นใจศักยภาพชาไทยยังไปต่อได้อีกไกล เร่งส่งเสริมใช้เอฟทีเอ ชูจุดขายเพื่อสุขภาพเจาะตลาดบน

ดูคลิปเพิ่มเติมคลิก >> https://youtu.be/FQhkdPK0GUM

ที่ห้องประชุมภูใจใส เมาน์เทน รีสอร์ต อ.แม่จัน จ.เชียงราย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ “โอกาสของชาไทยในยุคกาค้าเสรี”  โดยมี นางสาวปองวลัย พัวพนธ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ สำนักสินค้ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายทรงเดช ดันสุรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท Export Zone co.ltd นายสมคิด โสภณอำนวยกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสตาร์ดอยคอฟฟี่จำกัด เป็นวิทยากรในร่วมเสวนา โดยมีผู้ประกอบการชาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมเสวนาด้วย โดยการจัดเสวนาครั้งนี้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ลงพื้นที่ไร่ชาในจังหวัดเชียงรายเพื่อเก็บข้อมูล พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการชาเชียงราย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำตลาดอาเซียน จีน และยุโรป ขายสินค้าสนองความต้องการตลาดเฉพาะ หรือ นิชมาร์เก็ต เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยใช้เอฟทีเอเป็นสะพานให้เติบโตแบบก้าวกระโดด

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่าหลังจากลงพื้นที่สำรวจศักยภาพเกษตรกรและผู้ประกอบการชาเชียงราย การดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน ในอนาคตต่อไปนี้อุตสาหกรรมชาไทยจะเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทายอีกมาก เพราะชาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อัตราการบริโภคชาของคนไทยยังไม่สูงมาก เฉลี่ย 0.93 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในขณะที่ชาวอังกฤษบริโภคชาเฉลี่ย 2.74 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ชาวฮ่องกงบริโภคเฉลี่ย 1.42 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แสดงให้เห็นถึงโอกาสให้การเติบโตของตลาดชาในประเทศไทย โดยอาจส่งเสริมให้ผู้บริโภคดื่มชาเพิ่มขึ้นโดยใช้จุดขายเรื่องสินค้าชาอินทรีย์และสรรพคุณเพื่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ตามรสนิยมผู้บริโภคในลักษณะ DIY และรูปแบบการบริโภคใหม่ ๆ การเพิ่มช่องทางการขาย

“ประเทศไทยสามารถปลูกชาในระดับอุตสาหกรรมได้เนื่องจากไร่ชาภาคเหนือมีจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาจะผลิตเพื่อส่งขายจีนเป็นวัตถุดิบ หรือเป็นชาสำเร็จรูปส่งออกไปยังไต้หวัน หรือขายเป็นชาราคาเกรดทั่วไปเพื่อให้กับร้านชาในประเทศ จึงเรียกได้ว่า อุตสาหกรรมชาของไทยเป็นลักษณะรับจ้างผลิตหรือ โออีเอ็ม เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี เริ่มมีการสร้างแบรนด์สินค้าชาของคนไทยขึ้นมาและมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นตามลำดับ นอกจากศักยภาพอุตสาหกรรมชาไทยแล้ว กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับแนวทางจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ และจะรวบรวมประเด็นต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนต่อไป” อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าว

ด้าน นางสาวธัญญา วนัสพิทักษ์สกุล ผู้บริหารไร่ชาฉุยฟง กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาผลผลิตชาของไร่ชาฉุยฟงก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและภาวะเศรษฐกิจ รวมไปถึงกรแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ส่งผลทำให้รายได้ของตลาดชาลดลง ในช่วงปีที่ผ่านมา และในช่วงต้นปีอากาศแห้งแล้วส่งผลให้มีผลผลิตน้อยลง เพราะผลผลิตชานั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นหลัก ในส่วนของการแข่งขับกับชาต่างประเทศชาไทยได้รับผลกระทบจากส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยมากเพราะส่วนใหญ่จะเป็นชาฝรั่งที่นำเข้ามา ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคเป็นคนละกลุ่มกันกับผู้บริโภคชาไทย ทำให้ส่วนแบ่งทางการค้าจึงไม่มีผลกระทบมากนัก แต่เมื่อเทียบกับชาที่นำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นกลุ่มชาประเภทเดียวกันกับชาที่ผลิตในไทย เช่นชาเขียว ชาดำ ก็จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ สำหรับไร่ชาฉุยฟง ผลิดทั้งชาสมัยใหม่ และชาดั้งเดิม ที่ชงดื่มด้วยใบชา เช่น ชาแดง ชาอู่หลง ชาเขียว ในปัจจุบันมีการพัฒนาโดยนำชาไทยมาผลสมกับสมุนไพรท้องถิ่น เช่นตะไคร้ ข้าวคั่ว ที่เป็นข้าวของเชียงราย เปเปอร์มิ้นต์ และสมุนไพรต่าง ๆ

“ในการสัมนาในครั้งนี้ เกี่ยวเรื่องภาษีฟรีเทรด ซึ่งจะสามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดในธุรกิจของเรา โดยเราอาจจะต่อยอดกับทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ในการอองานเทรด หรือการติดต่อกับลููกค้าต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ในส่วนการเจรจาการค้าทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ก็จะมีการจับคู่ธุรกิจกันซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักธุรกิจได้เข้าถึงผู้ที่ต้องการสินค้าชาได้มาขึ้น” นางสาวธัญญา กล่าว

จากข้อมูลพบว่าในการทำตลาดต่างประเทศ สินค้าชาไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยทำกับประเทศต่าง ๆ ได้ โดยสำหรับสินค้าชาเขียวไทยสามารถส่งออกสินค้าชาโดยไม่เสียภาษีนำเข้าในประเทศในกลุ่มอาเซียน 8 ประเทศ (ยกเว้นเมียนมา) จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี สำหรับสินค้าชาดำ ไทยสามารถส่งออกสินค้าชาโดยไม่เสียภาษีนำเข้าในอาเซียน 9 ประเทศ จีน เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี และสำหรับผลิตภัณฑ์ชาไทยสามารถส่งออกสินค้าชาโดยไม่เสียภาษีนำเข้าในอาเซียน 9 ประเทศ จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ปี 2558 – 2562ไทยส่งออกสินค้าชาเขียว เฉลี่ย 979.6 ตัน ต่อปี คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 6.34 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าชาดำ เฉลี่ย 1,401.7 ตัน ต่อปี คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 6.2 ล้านเหรียญสหรัฐ. และสินค้าชาสำเร็จรูป เป็นสินค้าในกลุ่มชาและผลิตภัณฑ์ชาที่ไทยส่งออกมากที่สุด เฉลี่ย 9.1 ตัน ต่อปี คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 22.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย คือ กัมพูชา 31% เมียนมา 20% และสหรัฐฯ 18%

สถิติในช่วง 7 เดือนแรกปี 2563 มกราคม – กรกฎาคม ไทยส่งออกชาเขียว 492.9 ตัน คิดเป็นมูลค่า 4.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 17.92% ส่งออกชาดำ 601.8 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 45.54% และส่งออกชาสำเร็จรูป 4,971.1 ตัน คิดเป็นมูลค่า 19.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 47.77% สำหรับ ในปี 2562 ไทยส่งออกชาเขียว 1,057.7 ตัน คิดเป็นมูลค่า 9.4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีตลาดหลักคือ อินโดนีเซีย 38% เนเธอร์แลนด์ 12% และมาเลเซีย 9% ส่งออกชาดำ 2,256 ตัน คิดเป็นมูลค่า 9.6 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีตลาดหลักคือ อินโดนีเซีย 40% สหรัฐอเมริกา 18% และกัมพูชา 14% และส่งออกชาสำเร็จรูป 7,032.3 ตัน คิดเป็นมูลค่า 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีตลาดหลักคือ กัมพูชา 31% เมียนมา 20% และสหรัฐอเมริกา 18%
สำหรับผู้สนใจข้อมูลการค้าระหว่างประเทศและการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ สามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ www.dtn.go.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูล FTA (FTA Center) โทร 0-2507-7555

ร่วมแสดงความคิดเห็น