สาวก Apple ยิ้มร่า สมกับการรอคอยสำหรับงานเปิดตัว Apple Event ที่ในรอบนี้ได้มี Product ใหม่ของ Apple เยอะพอสมควร อาทิ Iphone12 iPhone 12 Pro / Pro Max และHomePod mini ที่ได้นำมาให้เหล่าผู้ติดตามได้ยลโฉมเป็นครั้งแรก โดยมีรายละเอียดดังนี้
ที่ผ่านมา iPhone คือโทรศัพท์มือถือที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องด้วยมีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งมี Application มากมายที่สามารถใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับการเปลี่ยนแปลง iPhone ในรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี 5G ที่ตอบสนองความเร็วสูง
เริ่มแรก iPhone 12 ที่เปิดตัวกับขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว มีค่า Contrast 2,000,000 : 1 มีความละเอียดมากกว่ารุ่นอื่นๆ รองรับ Dolby Vision และมีกระจกแบบ Ceramic Shield ที่แข็งแรงกว่า 4 เท่า ตัวเครื่องบางลง 11% ทำให้มีมีน้ำหนักเบาขึ้น 16% และเล็กลงกว่า iPhone 11เมื่อเทียบกันแล้ว ทั้งนี้ iPhone 12 ได้ผลิตตัวเครื่องให้เลือกถึง 5 สีคือ เขียว, ขาว, ดำ, น้ำเงิน และ Product Red แน่นอนว่าการเปิดตัวครั้งนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี 5G ที่มีความโดดเด่นในด้าน Smart Data Mode และเสาอากาศ โดยมีการปรับเปลี่ยนการใช้งานระบบ 4G และ 5G ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวการจับสัญญาณ, พลังงานการใช้ของเครื่องให้เหมาะสม ณ เวลานั้นให้ความเร็วสูงสุด 3.5 Gbps แบบ Sub-6 และ รองรับ 5G แบบ mmWave ที่ให้คุณภาพดีระดับ 4Gbps (คาดว่าน่าจะใช้ได้แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น)
นอกจากนี้ iPhone 12 ไม่เพียงแต่จะมาพร้อมกับระบบเทคโนโลยี 5G เท่านั้น แต่ทว่ามายังมี CPU Apple A14 ขนาด 5 นาโนเมตรที่มีความรวดเร็วกว่าเดิม 50% ทั้งนี้ CPU GPU และ Neural Engine มีขนาด 16 Core ส่งผลให้การเล่นเกมของมือถือรุ่นนี้สามารถทำงานได้ดี
ด้านกล้องหลังมีเปลี่ยนแปลงที่กล้องตัวหลัก โดยเพิ่มรูรับแสงให้กว้างขึ้นถึง f1.6 ทำให้สามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ดีมากขึ้น การเก็บรายละเอียดภาพในโหมด Night Mode ก็ทำได้ สามารถถ่ายภาพ ออกมาสวยแม้จะถ่าย Selfie ต่อมาในส่วนของวิดีโอของ iPhone 12 จะเพิ่มคุณภาพที่ดีขึ้นกับ Night Mode Time-Lapse เพราะรูรับแสงจับได้กว้างมากขึ้นทำให้การเก็บรายละเอียดภาพกลางคืนได้ดีมากกว่าเดิม และ Wireless Charging ก็ได้มีการปรับฟีเจอร์ MagSafe ให้สามารถใช้งาน การชาร์จไฟไร้สายได้ดีและปัญหาน้อยลง ทำให้การออกแบบเคสมีแม่เหล็กฝั่งภายในแต่ทว่าไม่มีผลต่อการทำงานในส่วนอื่นๆ แถมยังรองรับการนำไป Recycle ได้อีกด้วย อีกทั้งภายในกล่องก็ไม่ได้ให้ที่ชาร์จและหูฟัง จึงทำ บางลงลดการเกิด Carbon ได้อีกต่างหาก
สำหรับ iPhone 12 Mini เป็นมือถือที่เปรียบเสมือนย่อส่วน iPhone 12 ทุกสิ่งที่มีมาไว้ใน iPhone 12 Mini รวมถึงการกันน้ำและ MagSafe ทั้งหมดนี้ iPhone 12 Mini มีราคาเริ่มต้น 699 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 21,xxx บาท และ iPhone 12 จะอยู่ที่ 799 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 24,xxx บาท และแยกย่อยจากประมาณการมีดังนี้
iPhone 12 Mini
64GB = 729 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 22,xxx บาท
128GB = 779 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 24,xxx บาท
256GB = 879 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 27,xxx บาท
iPhone 12
64GB = 829 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 25,xxx บาท
128GB = 879 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 27,xxx บาท
256GB = 979 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 30,xxx บาท
โดยจะเริ่มวางจำหน่าย 16 พฤศจิกายน ในบางประเทศ และ 3 พฤศจิกายน จะเริ่มมีการเปิดจองเช่นเดียวกัน ซึ่งสำหรับประเทศไทยคงต้องรอประกาศอีกครั้ง อันนี้คือราคาที่สำรวจจากทางเว็บไซต์ Apple.com ในประเทศสหรัฐอเมริกา
มาถึงพระเอกอย่าง iPhone 12 Pro ที่มีการออกแบบที่สวยงาม เนื่องด้วยขอบจะปัดเงากว่า iPhone 12 และมีที่ใหญ่กว่า iPhone 11 ทั้งหมด (iPhone 12 Pro หน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 12 Pro Max จะมีขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว) โดยมีขนาดเท่ากับฟิล์มเดิมของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max หน้าจอนั้นให้ความสวยงามกว่า ทั้งนี้สีสันของ iPhone 12 Pro / 12 Pro Max ประกอบด้วย Silver, Graphite, Gold, Pacific Blue และมีแม่เหล็กด้านหลัง MagSafe อีกทั้งยังมาพร้อมกับ ชิปและ Apple A14 ที่เพิ่ม ISP หรือ Image Signal Processor ทำให้การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้องที่ 4 หรือ LiDAR ใช้งานได้ดี
กล้องหลังของ iPhone 12 Pro นั้นจะมีประกอบด้วย
12 ล้านพิกเซล Wide F1.6
12 ล้านพิกเซล Ultra Wide
12 ล้านพิกเซล Telephoto ซูมได้ 4 เท่า
และ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกับการเปลี่ยนกล้องตัว Telephoto ที่สามารถซูมได้ถึง 5 เท่า ขณะเดียวกันแม้ว่าจะน้อยลง แต่ก็มีการเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นไหวในกล้อง รวมไปถึงเซนเซอร์เมื่อมีการขยับ ส่งผลให้การถ่ายภาพได้สวยมากขึ้นคมชัดมากกว่าที่เคย
iPhone 12 Pro / 12 Pro Max เพิ่มฟีเจอร์บันทึกแบบ ApplePro RAW ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพที่ซูมของกล้องวิดีโอ รุ่น Pro Max ได้ดี และรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR Video Recording ที่แสดงผลแบบ Dolby Vision แถมยังถ่ายวิดีโอได้แบบ 4K 60 FPS ซึ่งสามารถแก้ไข Scene ตามที่เราต้องการได้ บวกกับมีเทคโนโลยี 5G ก็สามารถช่วยแชร์วิดีโอได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนLiDAR ที่เพิ่มในรุ่น 12 Pro / 12 Pro Max คือจุดเด่นที่ตอกย้ำระบบในการโฟกัส เมื่อมีแสงน้อยให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กว่าปกติไม่และในปกติ ทั้งนี้ 5G ยังคงทำงานรองรับการใช้งานกับโปรแกรมและการทำงานของนักพัฒนาและทางการแพทย์ที่มี CT Scan อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ราคา iPhone 12 Pro Max เริ่มต้น 1,099 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 34,xxx บาท และแยกย่อยมีดังนี้
128GB = 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 34,xxx บาท
256GB = 1,199 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 37,xxx บาท
512GB = 1,399 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 43,xxx บาท
iPhone 12 Pro เริ่มต้น 999 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 31,xxx บาท ถ้าแยกย่อยมีดังนี้
128GB = 999 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 31,xxx บาท
256GB = 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 34,xxx บาท
512GB = 1,299 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 40,xxx บาท
โดยสามารถจองได้ในวันที่ 16 ตุลาคม และวางจำหน่าย 23 ตุลาคม ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Mini เปิดจองในวันที่ 6 พฤศจิกายน และ วางจำหน่าย 16 พฤศจิกายน แน่นอนสำหรับประเทศไทยคงต้องรอประกาศอีกครั้ง ราคาที่ได้แจ้งไปข้างต้นนี้ คือราคาที่สำรวจจากทางเว็บไซต์ Apple.com ในประเทศสหรัฐอเมริกา
HomePods Mini เป็นอีกProduct ใหม่ของ Apple ซึ่งเป็นลำโพงที่มีขนาดเล็ก มีทั้งหมด 3 ตัว โดยทาง Apple ต้องการทำให้เสียงที่ออกมาลงตัว และมีการควบคุมด้วยชิป S5 ซึ่งสามารถให้เสียงที่ออกมาลงตัวและเหมาะสม ทั้งนี้ยังสามารถทำงานคู่กันแบบ Stereo เมื่ออยู่ใกล้ iPhone จะเร่งเสียงแบบอัตโนมัติ แต่หากนำ iPhone ห่างออกเสียงลำโพงจะเบาลงเอง และยังสามารถเชื่อมต่อทั้ง Siri รวมไปถึงโปรแกรมฟังเพลงอื่นๆมากมาย
เมื่อพูดถึง Home Pods Mini และ Siri ที่มีการอัปเดตให้สามารถรองรับการทำงานที่หลากหลายฟังชั่นอาทิเช่น การเชื่อมต่อทั้งการโทรเข้า-ออก, การอ่าน หรือ ส่งข้อความ, และอื่นๆ อย่างไรก็ดีระบบ Home Pods Mini ยังสามารถทำงานร่วมกับ HomeKIT กับอุปกรณ์ IoT ที่สามารถสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ Internet Of Thing และทำแบบ Scene เช่นตื่นเช้าให้ทำอะไร และรวมถึง Intercom พูดไปหาลำโพง หรือ, Apple Car Play, iPad, iPhone และ HomePods เป็นต้นและยังมาพร้อมกับความปลอดภัย และราคาที่จับต้องได้ อยู่ที่ 99 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 3,300 บาท
ร่วมแสดงความคิดเห็น