ครม.เห็นชอบ ร่างแก้กฎหมายอาญา “ท้องไม่เกิน 3 เดือน ทำแท้งได้” เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพหญิงตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ทำแท้งได้

เหตุผลในการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และ มาตรา 305 คือ

1. หญิงที่มีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แล้วทำแท้ง มีความผิดและต้องรับโทษ เพื่อคุ้มครองสิทธิของหญิงตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ให้เกิดความสมดุลกัน

2.  มีความจำเป็นและสมควรต้องทำแท้ง หรือยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิง และกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องทำตามหลัก

เกณฑ์ของแพทยสภาเพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์ โดย

– แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 301 ให้หญิงที่มีอายุครรภ์ “ไม่เกิน 12 สัปดาห์” สามารถทำแท้งได้ จากเดิมที่ห้ามหญิงตั้งครรภ์ทำแท้งโดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ปลอดภัยที่สุดในการทำแท้ง ไม่มีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ทำแท้งเกิดอาการแทรกซ้อน และเป็นอันตรายแก่ชีวิต

– มีการแก้ไขลดอัตราโทษ เนื่องจากผู้ทำแท้งต้องได้รับความเจ็บปวดทางร่างกายอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดโทษสูงอีก

– ม.301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ขณะมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากจำเป็นและสมควรต้องทำแท้ง หรือยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิง ผู้กระทำไม่มีความผิด ก็ต่อเมื่อ

(1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไป จะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกาย หรือจิตใจของหญิงนั้น

(2) จำเป็นต้องทำเนื่องจากหากทารกคลอดออกมา จะมีความเสี่ยงอย่างมาก ที่จะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติทางกายหรือจิตใจ ถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง

(3) หญิงมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ

(4) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์


ประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้

-ส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของผู้หญิง และชีวิตของทารกในครรภ์อย่างมีดุลยภาพ

-สร้างความมั่นใจต่อบุคคลากรการทางการแพทย์ ในการให้บริการยุติการตั้งครรค์โดยสมัครใจ

-ลดแรงจูงใจของผู้หญิงในการไปหาหมอเถื่อนเพื่อทำแท้ง ซึ่งผิดกฎหมายและไม่ปลอดภัยต่อชีวิต

-ส่วนที่กฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งทารกในครรภ์ที่มีความเสี่ยง ที่จะคลอดออกมาแล้วพิการแต่กำเนิด จะช่วยลดภาวะตึงเครียดให้กับครอบครัวที่ไม่มีความพร้อม ที่จะเลี้ยงดูบุตรที่มีสภาพพิการได้

ร่วมแสดงความคิดเห็น