เชียงรายพบผู้ป่วยโควิด 2 ราย เข้มชายแดนป้องกันทะลัก ประสานเมียนมาร์ส่งตัวคนไทยตกค้าง

วันที่ 30 พ.ย.63 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นพ.ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมหน่วยงานทีเกี่ยวข้องได้ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีผู้ลักลอบเดินทางเข้ามาจากประเทศเมียนมาร์ ที่มาพร้อมกับหญิงสาวที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่จังหวัดเชียงราย พบว่า หญิงสาวอายุ 29 ปี ชาว อ.ขุนตาล จ.เชียงราย และ 23 ปี ชาว จ.พะเยา ที่ได้เดินทางข้ามพรมแดนมาพร้อมกับหญิงสาวที่ติดเชื้อที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าทั้ง 2 คนมีผลตรวจติดเชื้อไวรัสโควิด-19

โดยทั้ง 2 คนได้เดินทางข้ามพรมแดนไทย – เมียนมาร์ ตม. ช่องทางธรรมชาติ จากนั้นได้เข้าพักที่โรงแรมแม่สายอิน จนกระทั่งทราบว่าหญิงสาวที่เดินทางมาด้วยกันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เชียงใหม่ จึงได้รู้สึกไม่สบายในและได้เดินทางมาตรวจที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงราย จากนั้นได้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์เพื่อตรวจหาเชื้อและพบว่าทั้ง 2 คนติดเชื้อ และได้ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งทั้ง 2 คนอาการไม่รุนแรง

นพ.ทศเทพ บุญทอง กล่าวว่า ในกรณีผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อทั้ง หญิงสาวที่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ และหญิงสาวทั้ง 2 คนที่ตรวจพบเชื้อในจังหวัดเชียงราย มีผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 21 ราย ซึ่งติดตามได้แล้วทั้งหมดและอยู่ในระหว่างการตรวจหาเชื้อไวรัส นอกจากนี้ยังสืบหาพบว่า หญิงสาวทั้ง 2 คนที่พบเชื้อในจังหวัดเชียงรายได้สั่งอาหารจากฟู้ดเดลิเวอรี่ จึงจะต้องติดตามพนักงานส่งอาหารมาตรวจโรคด้วย ซึ่งคาดว่าจะต้องติดตามตัวอีกรวมกันกับกลุ่มแรกแล้วประมาณ 30 คน ซึ่งในกลุ่มเคสนี้ไม่น่าเป็นห่วงเพราะว่าไม่ได้เดินทางไปในแหล่งชุมชนที่ใด ซึ่งต่างจากกรณีในจังหวัดเชียงใหม่ที่เดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวและสถานบันเทิงหลายแห่ง

นายประจญ ปรัชญ์สกุล กล่าวว่า กรณีที่มีการลักลอบเดินทางเข้ามาตามแนวชายแดนนั้นส่วนใหญ่พบว่าเป็นคนไทยที่ได้ข้ามไปทำงานตามสถานบันเทิงในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานบันเทิงปิดตัว ทำให้ไม่มีงานทำ ประกอบกับกลัวว่าจะติดเชื้อ จึงได้พยายามลักลอบกลับมายังประเทศไทย แต่เนื่องจากเดินทางไปยังประเทศเมียนมาร์โดยผิดกฎหมายจึงไม่สามารถกลับมาตามช่องทางปกติได้ ซึ่งตามกฎหมายของประเทศเมียนมาร์มีโทษถึงจำคุก ทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวต้องหลบหนีกลับประเทศไทยตามเส้นทางธรรมชาติ หรือติดต่อกับนายหน้าเพื่อพาข้ามพรมแดน ซึ่งในเบื้องต้นทางฝ่ายไทยก็ได้มีการติดต่อประสานงานกับประเทศเมียนมาร์ โดยทางศูนย์ประสานงานชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมาร์ เพื่อหาทางให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวกลับเข้ามาตามช่องทางที่ถูกต้องเพื่อจะได้มีการคัดกรองโรคตามขั้นต้องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

อย่างไรก็ตามก็ในส่วนมาตรการของจังหวัดก็ได้มีการเข้มงวด และจะได้สั่งการให้นายอำเภอแต่ละอำเภอแจ้งให้ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตรวจสอบบุคคลแปลกหน้า และประชาสัมพันธ์ให้บุคคลที่เดินทางกลับมาจากประเทศเมียนมาร์โดยไม่ผ่านการคัดกรอง ให้มารายงานตัวเพื่อจะได้เข้าสู่ระบบการตรวจหาเชื้อและคัดกรองโรค เพื่อความปลอดภัยของชุมชน หากปกปิดหรือหลบซ่อนอาจจะเป็นอันตรายต่อครอบครัวของตนเอง และชุมชนได้

ในส่วนของขบวนการลักลอบข้ามแดนนั้น ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ติดตามขบวนการลักลอบข้ามแดน โดยพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อผ่านชาวเมียนมาร์ที่หลบซ่อนอยู่ในฝั่งประเทศไทย เพื่อนัดจุดที่จะนำผู้หลบหนีมาส่งให้และพาไปยังจุดต่าง ๆ โดยจะมีการนัดแนะเป็นครั้งไป ไม่ได้เป็นขบวนการ โดยที่ผ่านมาพบว่ามีการโพสต์ในโซเซียลว่าสามารถนำพาข้ามพรมแดนได้ ครั้งละ 3,000 -5,000 บาท นั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและโทรไปตามหมายเลขดังกล่าวแล้วแต่ไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการติดตามพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวอยู่ และมีข้อมูลบ้างแล้ว ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการติดตามจับกุม

ด้าน นายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล กล่าวว่า โรงพยาบาลเชียงรายศูนย์ประชานุเคราะห์ได้มีการซ้อมแผนเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 หลายครั้ง ตามนโยบายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทำให้มีความพร้อมในการรับมือกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส จึงไม่มีความกังวลหากมีผู้ป่วยเข้ามารักษาในโรงพยาบาล

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น