การให้ที่ยิ่งใหญ่ ! ครอบครัวบริจาคอวัยวะหนุ่มวัย 27 หลังประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ให้ช่วยผู้ป่วยรายอื่นได้อีก 6 คน

“ความดีที่ไม่สิ้นสุด คือการอุทิศอวัยวะเมื่อยามสิ้นสูญ”

แม้ว่าการสูญเสียคนที่เรารักอย่างปัจจุบันทันด่วนเป็นเรื่องที่ยากต่อการยอมรับ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แต่อย่างน้อยการสูญเสียของใครบางคน อาจจะสามารถต่อชีวิตให้ผู้คนได้อีกมากมาย ดังเช่นเรื่องราวในวันนี้ ในช่วงเช้าของวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 คุณอิสรภาพ ดีน้ำจืด วัย 27 ปีได้ประสบอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์ชนกับรถยนต์อย่างรุนแรง ต่อมาได้มีผู้นำส่ง รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ได้ให้การรักษาเบื้องต้น และตรวจพบว่าศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และมีอาการเลือดคั่งในสมองปริมาณมาก จึงได้ทำการประสานงานเพื่อขอส่งตัวมารักษาที่ รพ.นครพิงค์

นพ.สุกิจ พรหมศิริ ประสาทศัลยแพทย์ รพ.นครพิงค์ ได้ทำการตรวจประเมินแล้วพบว่า สมองได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก การผ่าตัดเพื่อระบายเลือดที่คั่งในสมองก็ไม่สามารถทำให้สมองที่เสียหายฟื้นคืนมาได้ จึงได้ปรึกษาหารือแนวทางการรักษากับญาติของผู้ป่วย ซึ่งคุณสกุลฐิดา ดีน้ำจืด ผู้เป็นแม่ และคุณสุรภาพ ดีน้ำจืดผู้เป็นพี่ชาย จึงได้ตัดสินใจที่จะไม่ผ่าตัด เพราะการผ่าตัดไม่น่าจะได้ประโยชน์และไม่ต้องการให้ผู้ป่วยต้องเจ็บมากไปกว่านี้อีกแล้ว ต่อมา ทีมแพทย์พบว่า ผู้ป่วยไม่มีการตอบสนองและมีภาวะสมองตายซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตลงแล้ว

แม้การสูญเสียลูกชายของแม่ และน้องชายของพี่ ด้วยวัยเพียง 27 ปี จากสาเหตุสมองตายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จะเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ แต่ผู้เป็นแม่และพี่ชายก็อยากให้น้องชาย ได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต จึงได้ตัดสินใจที่จะบริจาคอวัยวะทุกส่วนที่ยังใช้ได้ ให้กับสภากาชาดไทยเพื่อไปจัดสรรให้กับผู้ป่วยที่รอคอยชีวิตใหม่ รอคอยการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะจากผู้ใจบุญเพื่อต่อชีวิตออกไป

ทีมแพทย์ได้ตรวจประเมินพบว่าแม้สมองจะเสียหายอย่างรุนแรง แต่อวัยวะต่าง ๆ ยังคงทำงานได้ การสูญเสีย 1 ชีวิต ในวันนี้ จึงได้ต่อชีวิตใหม่อีกถึง 6 ชีวิต เมื่อ สามารถบริจาคได้ทั้ง ตับ ไต 2 ข้าง ลิ้นหัวใจ และกระจกตาอีก 2 ข้าง

ด้วยบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่ได้ต่อชีวิตผู้อื่นถึง 6 ชีวิตในครั้งนี้ ขอให้ดวงวิญญาณของ คุณอิสรภาพ ดีน้ำจืด ไปสู่สุคติและภพภูมิที่ดี


***ภาพและบทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จากญาติของผู้เสียชีวิตแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลนครพิงค์

ร่วมแสดงความคิดเห็น