“ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง” ความห่วงใยประชาชนของ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดของจีน

“ต้องยืนหยัดประชาชนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด” “ต้องมีความรู้สึกนึกคิดร่วมกับประชาชน ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน และต้องสามัคคีฟันฝ่าต่อสู้ร่วมกับประชาชนตลอดไป” และ “ต้องถือความสุขของประชาชนเป็นเกณฑ์ทดสอบประสิทธิภาพการปฏิรูป” – นายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน แสดงความรักความห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อประชาชนด้วยภาษาที่เรียบง่ายในวาระ และสถานที่ต่าง ๆ

ในใจมีประชาชนคิดถึงประชาชนตลอด คำพูดใกล้ชิดประชาชน ฟันฝ่าต่อสู้เพื่อประชาชน – ความรัก และความห่วงใยประชาชนของ ปธน.สี จิ้นผิง มีจุดเริ่มต้นจากการเติบโตโดยผ่านความยากลำบากมากมาย

ค.ศ. 1962 นายสี จิ้นผิงในวัยเยาว์ถูกเลือกปฏิบัติจากผลกระทบของกรณีนายสี จ้งซวิน ผู้นำรุ่นอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บิดาของนายสี จิ้นผิง ที่ได้รับการลงโทษเพราะถูกปองร้ายระหว่าง “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” นายสี จิ้นผิง เคยถูกกล่าวหา และวิพากษ์วิจารณ์ เคยอดอยาก และเร่ร่อน กระทั่งถูกคุมขัง

ต้น ค.ศ. 1969 นายสี จิ้นผิง ในวัยไม่ถึง 16 ปี ยื่นสมัครเข้าทำงานในชนบททางภาคเหนือของมณฑลส่านซี หลังผ่านการอนุมัติเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ตำบลเหวินอานอี้ อำเภอเหยียนชวน มณฑลส่านซี และอาศัยอยู่ใน “เหยาต้ง” หรือ บ้านถ้ำ เนื่องจากในบ้านถ้ำมีหมัดชุกเขาจึงถูกหมัดกัดจนมีตุ่มพองเต็มร่างกาย และจำต้องโปรยผงสารเคมีกำจัดศัตรูพืชใต้ที่นอนเพื่อกำจัดหมัด

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่นั่น นายสี จิ้นผิง แทบไม่มีเวลาพักผ่อน เขาเคยทำงานสารพัด เช่น ทำไร่ ทำสวน ขนถ่านหิน และสร้างเขื่อนเล็ก ๆ สำหรับป้องกันการชะล้างของดิน และทราย ตลอดจนหาบมูลชีวภาพ เป็นต้น เคยผ่านความทุกข์ยากลำบากมากมาย ในสายตาของชาวบ้าน นายสี จิ้นผิง ซึ่งสามารถหาบข้าวสาลีหนัก 100 – 200 ชั่ง หรือ 50 – 100 กิโลกรัม เดินตามถนนบนเทือกเขาเป็นระยะทาง 10 ลี้ หรือ 5 กิโลเมตรได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ไหล่อีกข้างหนึ่งเลยนั้นถือเป็น “ชายหนุ่มน่ารักที่ขยันทำงานและมีความอดทนสูง” นายสี จิ้นผิงที่ “ทำงานเต็มที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย” แถม “มีความรู้และมีไอเดียมาก” จึงค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจจากบรรดาชาวบ้าน เขาไม่เพียงแต่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสันนิบาตเยาวชน และพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น หากยังได้รับโอกาสให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหออีกด้วย

แม้ชีวิตความเป็นอยู่บนผืนดินเหลืองในมณฑลส่านซียากลำบากมากแต่ที่นั่นก็ได้กลายเป็นเวทีแรกที่ช่วยให้นายสี จิ้นผิงได้รับการฝึกอบรม เติบโต และแสดงฝีมือความสามารถ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรยามว่างจากการทำไร่ทำสวนในฤดูหนาวเขานำชาวบ้านช่วยกันสร้างเขื่อนขนาดเล็กเพื่อป้องกันดินทรายไม่ให้ไหลไปกับกระแสน้ำยามฝนตก ทุกครั้งเขาจะเป็นคนแรกที่ยืนบนน้ำแข็งด้วยเท้าเปล่าแล้วทุบน้ำแข็งออกเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยเพื่อก่อฐานเขื่อน นายสี จิ้นผิงรวบรวมช่างตีเหล็กในหมู่บ้านตั้งสหกรณ์อุปกรณ์เหล็ก เครื่องมือการเกษตรที่ผลิตได้นอกจากป้อนให้ใช้งานภายในหมู่บ้านตัวเองอย่างเพียงพอแล้ว ยังขายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงสร้างรายได้ส่วนรวมเพิ่มแก่หมู่บ้านด้วย หลังอ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวว่าในมณฑลเสฉวนมีการทำบ่อก๊าซชีวภาพ นายสี จิ้นผิงจึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อศึกษาการทำบ่อก๊าซชีวภาพโดยเฉพาะ เมื่อกลับจากเสฉวนเขานำชาวบ้านสร้างบ่อก๊าซชีวภาพแห่งแรกในภาคเหนือของมณฑลส่านซี และทำให้หมู่บ้านเหลียงเจียเหอกลายเป็นหมู่บ้านแห่งแรกของมณฑลที่มีบ่อก๊าซชีวภาพพอใช้งานอย่างทั่วถึงซึ่งแก้ไขปัญหาพลังงานในการประกอบอาหารและไฟส่องสว่างแก่ชาวบ้าน

นายสี จิ้นผิงยก “หมานโถว” ซึ่งเป็นขนมนึ่งทำจากแป้งข้าวสาลีขาวที่หมู่บ้านจัดสรรให้ตัวเขาในฐานะ “เยาวชนผู้มีความรู้” ต่อให้แก่ชาวบ้านทาน แต่ตัวเขาเองกลับกินแต่ “คังวัววัว” ซึ่งเป็นขนมนึ่งทำจากเปลือกข้าวแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งนายสี จิ้นผิงได้รับมอบรางวัลเป็นรถมอเตอร์ไซด์สามล้อแบบมีหลังคาจากรัฐบาลส่วนกลางในฐานะ “เยาวชนผู้มีความรู้ดีเด่น” ซึ่งสมัยนั้นรถแบบดังกล่าวยังพบเห็นได้น้อยมากในท้องถิ่นที่นั่น แต่นายสี จิ้นผิงกลับใช้รถคันนี้ไปแลกเครื่องจักรกลการเกษตรมาให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์แทน ซึ่งรวมถึงรถแทรกเตอร์ เครื่องโม่แป้ง เครื่องกำจัดสิ่งเจือปนในข้าวเปลือก และปั๊มสูบน้ำ

แม้ต้องหยุดเรียนกลางคันแต่นายสี จิ้นผิงก็ใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เขาศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเองมาโดยตลอดอย่างไม่ลดละ ระหว่างเดินทางไปทำงานประจำที่บ้านเหลียงเจียเหอ เขาขนหีบที่บรรจุหนังสือจนเต็มและมีน้ำหนักมากติดตัวไปด้วย ตอนกลางวันทำงานพอถึงเวลาพักผ่อนก็ค่อยหยิบหนังสือออกมาอ่าน เวลาออกไปเลี้ยงแกะก็ยังอ่านหนังสือบนเนินสูงดินเหลือง ตกกลางคืนก็มักอ่านหนังสือใต้โคมไฟน้ำมันก๊าดจนดึกดื่น ในความทรงจำของชาวบ้าน นายสี จิ้นผิงมักจะกินข้าวไปพลางอ่าน “หนังสือเล่มหนาเท่าอิฐ” ไปพลาง

ค.ศ. 1975 นายสี จิ้นผิงได้รับการเสนอชื่อให้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหวาในกรุงปักกิ่ง วันที่เดินทางออกจากหมู่บ้านบรรดาชาวบ้านต่างพากันยืนเรียงแถวยาวเพื่อส่งเขา ชาวบ้านหลายคนถึงกับร้องไห้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ หลายคนร่วมเดินส่งเขาเป็นระยะทางหนึ่งแล้วต่อด้วยอีกระยะทางหนึ่ง ชาวบ้านยังได้ร่วมกันมอบกรอบที่เขียนตัวหนังสือไว้ว่า “เลขาธิการที่ดีของประชาชนชาวนา” แก่นายสี จิ้นผิงด้วย เพื่อแสดงความขอบคุณและชื่นชมด้วยความจริงใจ

หลังอำลาจากหมู่บ้านเหยียงเจียเหอ นายสี จิ้นผิงคิดถึงบรรดาเพื่อน ๆ ชาวบ้านในที่นั่นตลอด เขาเคยช่วยให้หมู่บ้านเชื่อมต่อเข้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้า ช่วยสร้างสะพาน รวมถึงบูรณะซ่อมแซมโรงเรียนประถมด้วย สมัยนายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน เขาเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านของแต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงวัยที่ยากจน มอบกระเป๋านักเรียนใหม่ เครื่องเขียน และนาฬิกาปลุกแจ้งเวลาเรียนแก่เด็ก ๆ ระหว่างที่นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งผู้นำมณฑลฝูเจี้ยน เขารับเพื่อนชาวหมู่บ้านเหลียงเจียเหอที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงมารับการรักษาพยาบาลที่ฝูเจี้ยนโดยเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

การใช้ชีวิตในชนบทร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นเวลา 7 ปี  เป็นช่วงเวลาที่นายสี จิ้นผิงคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านอย่างเรียบง่ายบนที่ราบสูงดินเหลือง การใช้ชีวิตและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าชนบทของจีนเป็นอย่างไร อะไรคือทุกข์สุขของชาวบ้าน และอะไรคือสภาพโดยทั่วไปของประเทศจีน เขาหลอมรวมความผูกพันอันใกล้ชิดกับประชาชนและความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศในการแสวงหาชีวิตของตนเองอย่างลึกซึ้ง

นายสี จิ้นผิงเคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ในชีวิตของเขาผู้ที่มีส่วนช่วยเขามากที่สุด “หนึ่ง คือ นักปฏิวัติรุ่นอาวุโส” “สอง คือ บรรดาเพื่อน ๆ ชาวบ้านในภาคเหนือของมณฑลส่านซี” เมื่อไปถึงดินแดนสีเหลืองในวัย 16 ปี เขาเคยสับสนและกระวนกระวายอยู่พักหนึ่ง ตอนออกจากที่นั่นในวัย 22 ปี เขามีเป้าหมายชีวิตที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้วนั่นก็คือ “ต้องทำเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างจริงจัง”

หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหวาในค.ศ. 1979 นายสี จิ้นผิงเข้าทำงานที่สำนักงานคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ในค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งเริ่มลาออกจากระบบราชการเพื่อไปประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือ ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ แต่นายสี จิ้นผิงกลับเลือกไปทำงานที่อำเภอเจิ้งติ้ง ในมณฑลเหอเป่ย โดยยอมทิ้งชีวิตที่ดีในกรุงปักกิ่ง ในค.ศ. 1981 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของอำเภอเจิ้งติ้งมีมูลค่าไม่ถึง 150 หยวน ช่วงเริ่มแรก คนจำนวนไม่น้อยขาดความมั่นใจในความสามารถของนายสี จิ้นผิงซึ่งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอในวัยหนุ่ม

นายสี จิ้นผิงทำงานอย่างจริงจังแต่ไม่เคยเรียกร้องความสนใจจากผู้คน เขานอนค้างคืนที่ห้องทำงาน ทานข้าวที่โรงอาหารส่วนรวม เข้าคิวรับอาหารเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ทั่วไป นั่งยอง ๆ ใต้ต้นไม้แล้วทานข้าวไปพลางพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานไปพลาง เขายังมักปั่นจักรยานไปยังเขตชนบทเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวชาวบ้าน พูดคุยและไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ เวลาผ่านไปไม่นานเขากลายเป็นคนคุ้นเคยสนิทสนมของชาวบ้าน

ในใจของนายสี จิ้นผิง ประชาชนสำคัญมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินทางไปยังสถานที่ระดับล่างมากที่สุด

ค.ศ. 1988 นายสี จิ้นผิงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน เมืองหนิงเต๋อในเวลานั้นเป็น 1 ใน 18 พื้นที่ยากจนที่สุดของจีน เพื่อลงพื้นที่หมู่บ้านที่นั่นให้ทั่วถึง นายสี จิ้นผิงมักนั่งรถจี๊ปไปบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อบนเทือกเขาติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน แรงสั่นสะเทือนมักทำให้เขานั่งหลังตรงไม่ได้ กระทั่งบางครั้งก็ปวดท้องจนไม่สามารถลงจากรถได้พักใหญ่ สำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ถนนยังไม่เข้าถึงเขาเดินลุยไปตามทางบนเทือกเขาที่น่าหวาดเสียว ชื้นแฉะ ลื่น และเต็มไปด้วยโคลนจนกว่าจะถึงจุดหมาย ในพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้นมีตำบลแห่งหนึ่งชื่อว่า “เซี่ยตั่ง” นายสี จิ้นผิงออกเดินทางตั้งแต่เช้าในเวลา 7.30 น. กว่าจะถึงก็เลยเวลาเที่ยงวัน เขาได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและเอิกเกริกที่สุด บรรดาชาวบ้านพูดว่านายสี จิ้นผิง “มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในบรรดาข้าราชการที่เคยมาถึงที่นี่”

เขาขับเคลื่อนการดัดแปลงบ้านพักที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคาซึ่งชาวบ้านหลายพันคนอาศัยอยู่กันมาเป็นเวลายาวนาน เขาผลักดันการสร้างบ้านพักใหม่บนดินแดนชายฝั่งทะเลแก่ชาวประมงซึ่งเดิมใช้ชีวิตเร่ร่อนในท้องทะเลตั้งแต่รุ่นปู่ ช่วยให้พวกเขาสามารถออกทะเลทำประมงพอขึ้นฝั่งก็มีบ้านพักบนดินเป็นหลักแหล่งมีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุขมากกว่าเดิมอย่างมาก

ขณะทำงานที่เมืองหนิงเต๋อ นายสี จิ้นผิงเสนอ “การลงพื้นที่ระดับล่าง” สี่ประการ ได้แก่ การรับเรื่องร้องทุกข์ควรลงพื้นที่ระดับล่าง การปฏิบัติงานควรลงพื้นที่ระดับล่าง การศึกษาค้นคว้าควรลงพื้นที่ระดับล่าง และการประชาสัมพันธ์นโยบายควรลงพื้นที่ระดับล่าง ภายหลังนายสี จิ้นผิงย้ายไปทำงานที่เมืองฝูโจว เขาได้สร้างระบบให้ข้าราชการระดับสูงลงพื้นที่รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนโดยตรง ครอบคลุมถึง 5 เขตและ 8 อำเภอของเมืองฝูโจว นายสี จิ้นผิงเคยนำข้าราชการระดับสูงจากเขตและเมืองฝูโจวไปรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนกว่า 700 คนภายในเวลาเพียง 2 วัน จนสามารถคลี่คลายปัญหาทันที หรือ กำหนดเวลาแก้ไขปัญหาราว 200 รายการ ต่อมาภายหลังนายสี จิ้นผิงได้ขับเคลื่อนระบบนี้ที่มณฑลเจ้อเจียงด้วย โดยเขากล่าวว่า “การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนและรับเรื่องร้องทุกข์นั้นเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ต่อระดับมาตรฐานและขีดความสามารถของข้าราชการระดับสูง ประชาชนที่มายื่นเรื่องร้องทุกข์เป็นผู้ออกข้อสอบ เรื่องราวร้องทุกข์เป็นข้อสอบ ส่วนความพึงพอใจของประชาชนเป็นคำตอบ”

เดือนกันยายน ค.ศ. 2003 นายสี จิ้นผิงนำข้าราชการ 3 ระดับ ได้แก่ มณฑล เมือง และอำเภอ เดินทางลงพื้นที่รับเรื่องร้องทุกข์ที่อำเภอผู่เจียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้งและเสียงบ่นของประชาชนค่อนข้างมาก เขาสั่งให้แจ้งประชาชนรับทราบเรื่องการลงพื้นที่อย่างชัดเจนและทั่วถึง จากการลงพื้นที่ครั้งนั้นที่เป็นจุดเริ่มต้น มณฑลเจ้อเจียงได้จัดให้ข้าราชการระดับสูงลงพื้นที่อย่างทั่วถึงสร้างระบบในระยะยาวเกี่ยวกับการลงพื้นที่ของข้าราชการระดับสูงในทุกระดับการปกครองอย่างครอบคลุมภายในมณฑลเจ้อเจียง

ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน ค.ศ. 2005 นายสี จิ้นผิงเดินทางไปยังเหมืองถ่านหินฉางกว่าง สาขามณฑลเจ้อเจียง เขาโดยสาร “กรง” ลงไปยังก้นเหมืองที่อยู่ลึกใต้ดินราว 1,000 เมตร ก้มศีรษะงอตัวเดินตามทางเดินที่ทั้งเตี้ยและคับแคบเป็นระยะทาง 1,500 เมตร เพื่อไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกรรมกรที่จุดขุดแร่โดยเฉพาะ

นายสี จิ้นผิงให้ความสำคัญอย่างมากต่อการแลกเปลี่ยนกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน เขาเคยลงบทวิเคราะห์สั้น 232 บทในคอลัมน์พิเศษของหนังสือพิมพ์ “เจ้อเจียงเดลี่” โดยใช้นามปากกา “เจ๋อซิน” เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดในชีวิตประจำวันอย่างทันกาลด้วยสำนวนภาษาที่แลกเปลี่ยนกันอย่างเสมอภาค เขาเล่าเรื่องราวโดยใช้เหตุผลและทำให้เข้าใจง่ายจึงได้รับการต้อนรับอย่างมาก ประชาชนกล่าวว่านี่คือ “การพูดประเด็นสำคัญ ๆ ด้วยภาษาที่เรียบง่าย”

นายสี จิ้นผิงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้างและจริงใจเสมอ แต่ถ้าเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวพันผลประโยชน์ของประชาชนเขาจะยึดมั่นในหลักการอย่างเด็ดขาด เขามักกล่าวว่า ข้าราชการระดับสูงต้องดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงหาใช่ดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อน เมื่อครั้งสะสางคดีเจ้าหน้าที่รัฐสร้างบ้านพักส่วนตัวโดยไม่ชอบธรรมที่เมืองหนิงเต๋อนั้น เขาได้วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อสภาพที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่กล้าใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมทุบโต๊ะว่า “เราควรสร้างความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่หลายพันคนหรือสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนหลายล้านคน” ขณะดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในมณฑลเจ้อเจียง นายสี จิ้นผิงขับเคลื่อนการสร้างครรลองของเจ้าหน้าที่รัฐขนานใหญ่ ภายในเวลา 1 ปี มีเจ้าหน้าที่จำนวนมากได้รับการลงโทษเนื่องจากขาดผลงานอันพึงมี

นายสี จิ้นผิงเป็นผู้นำที่คอยเอาใจใส่ และช่วยเหลือผู้อื่น เขาไม่เคยลืมบุญคุณของครูบาอาจารย์ เมื่อถึงปีใหม่เขามักส่งคำอวยพรและแสดงความปรารถนาดีไปยังครูบาอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ เขาเคารพผู้สูงวัยและรักเด็ก ขณะทำงานที่อำเภอเจิ้งติ้ง เขาเคยให้เจ้าหน้าที่ผู้สูงวัยใช้รถเก๋งคันแรกของอำเภอแทนที่ตัวเขาจะใช้เองในฐานะข้าราชการะดับสูง ทั้งยังจัดห้องทำกิจกรรมและห้องรักษาพยาบาลแก่เจ้าหน้าที่สูงวัยโดยเฉพาะด้วย ขณะทำงานที่เมืองฝูโจวเขาเคยบริจาคทุนช่วยเหลือเด็กและครอบครัวยากจนให้เรียนหนังสือจนจบกระทั่งพวกเขาได้งานทำ

การยืนหยัดทำงานโดยลงพื้นที่ระดับล่างอย่างขยันแข็งขันเป็นเวลาหลายปี แถมเปี่ยมไปด้วยครรลองการทำงานที่จริงจังและใกล้ชิดประชาชน ทำให้นายสี จิ้นผิงได้รับการชื่นชมจากประชาชนในวงกว้างไพศาลว่าเป็น “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งชาวบ้าน” เขากล่าวว่า “สำหรับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างพวกเรา ชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยงเรา ต้องรักชาวบ้านเหมือนรักพ่อแม่ สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน และนำพาชาวบ้านสู่ชีวิตที่ดีงาม” แปลเรียบเรียงโดยภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุ และโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน-CMG

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น