รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กไขข้อข้องใจเรื่อง เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ทำให้แท้งลูก โดยระบุข้อความไว้ดังนี้
“เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ได้ทำให้แท้งลูกครับ”
วันนี้มีคนส่งมาถามเยอะมาก เกี่ยวกับข่าวที่ว่า ชาวบ้านหมู่บ้านหนึ่งที่ อ.เชียงคำ จ.พะเยา ออกมาประท้วงให้ย้ายเสาสัญญาณโทรศัพท์ออกไป เพราะทำให้หญิงมีครรภ์แท้งลูก บางคนมีอาการใจสั่น ประสาทเสีย จนป่วยจิตเวช แถมเวลาฝนฟ้าคะนองฟ้าผ่ามา เครื่องใช้ไฟฟ้าชาวบ้านจะเสียหายใช้การไม่ได้ !! มันเป็นไปได้หรือ ?!
ที่บอกว่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้เกิดอาการแท้งบุตรนั้น อันนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยครับ ! เพราะเสาส่งที่นั่นก็ตั้งมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แต่มีคนแท้งแค่ 5 คน ไม่น่าจะเป็นนัยสำคัญที่จะระบุได้ว่า เป็นผลมาจากเรื่องของเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์
จริงๆ ต้องไปดูสาเหตุเป็นรายบุคคลมากกว่า ว่าภาวะแท้งบุตรนั้นเกิดขึ้นอย่างไร มีความสอดคล้องกันทั้ง 5 คนหรือไม่ หรือแตกต่างกัน … บ่อยครั้ง มีการกล่าวอ้างว่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ทำให้คนในหมู่บ้านเป็นโรคมะเร็ง แต่พอไปดูแล้ว ก็พบว่าผู้ป่วยแต่ละคนนั้นก็มีความแตกต่างกันของการเป็นมะเร็ง ไม่ได้มีความสอดคล้องกัน ที่จะยืนยันว่าเป็นอุบัติการณ์ร่วม
กรณีที่เกิดอาการใจสั่น ประสาทเสีย จนเป็นจิตเวชนั้น ก็เหมือนกันที่ว่าไม่น่าจะเกิดจากเรื่องเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ร่วมกัน ! ควรจะต้องวิเคราะห์เป็นรายบุคคลไปว่า น่าจะเกิดจากเหตุผลใด
ส่วนเรื่องที่ฟ้าผ่าลงมาที่เสาส่ง แล้วทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าของบ้านรอบข้างเสียหายไปด้วยนั้น อันนี้พอเป็นไปได้ มันเป็นเรื่องของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นขณะฟ้าผ่าลงมา และเหนี่ยวนำไปในอากาศจนช็อตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เคียงได้ ก็ต้องไปดูว่ามีบ้านใครอยู่ใกล้กับเสาในระยะที่เกินกว่ากำหนดหรือเปล่า
ในทางความปลอดภัยของสัญญาณโทรศัพท์ที่มีต่อมนุษย์นั้น สำนักงาน กสทช. เคยเปิดเผยไว้ว่า หลังจากมีการร้องเรียนเรื่องสุขภาพของผลกระทบ เช่น ปวดศีรษะ หน้ามืด อ่อนแรง เป็นมะเร็ง เป็นต้น ไปยังหลายหน่วยงานทั้งในระดับท้องถิ่น สื่อสาธารณะ หรือแม้แต่ศาลปกครอง กสทช. จึงได้ส่งคำถามเรื่องนี้ไปที่องค์การอนามัยโลก
ดร.อีมิลี ฟาน เดเวนเตอร์ หัวหน้าคณะรังสีวิทยา องค์การอนามัยโลก ได้ตอบกลับคำถาม โดยยืนยันผลการศึกษาช่วงระยะ 10 ปีระหว่างปี พ.ศ. 2539-2549 ว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถชี้ได้ว่า การส่งสัญญาณในคลื่นความถี่ระหว่าง 0-300 กิกกะเฮิร์ตซ์ จากสถานีฐานและการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ จะมีผลร้ายแรงต่อสุขภาพ
จากนั้น ในปี 2553 คณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก ได้ศึกษากรณีการส่งคลื่นสัญญาณเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่จากสถานีฐาน ก็ยังไม่พบหลักฐานว่าคลื่นความถี่มีผลต่อสุขภาพ
และหลังจากนั้น องค์การอนามัยโลกยังศึกษาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพร่างกายกับการปล่อยคลื่นความถี่จากอุปกรณ์ไร้สายและสถานีส่งสัญญาณคลื่นโทรศัพท์ ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ใดๆ อีกเช่นกัน
ข้อมูลจาก https://www.nbtc.go.th/News/Press-Center/35501.aspx ข่าว 14 พ.ย. 2561)
https://social.tvpoolonline.com/news/171427
ที่มา สำนักประชาสัมพันธ์เขต 1 กรมประชาสัมพันธ์
ร่วมแสดงความคิดเห็น