(มีคลิป) จ.ลำปาง รวมพลังหน่วยงานรณรงค์สร้างจิตสำนึก “หยุดเผา” ลดปัญหามลพิษจากหมอกควัน

กำลังพลเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทุกภาคส่วน และอาสาสมัครภาคประชาชนในจังหวัดลำปาง ร่วมปฏิญาณตนจะปกป้องดูแลรักษาพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ “หยุดพฤติกรรมการเผา” สานงานเชิงรุกแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันไฟและฝุ่นละอองขนาดเล็ก

จังหวัดลำปาง โดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง ร่วมกับ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สาขาลำปาง และหลายหน่วยงานองค์กรภาครัฐในจังหวัดลำปาง เดินหน้าจัดกิจกรรมเชิงรุกสานพลังหน่วยงานเครือข่ายจากทุกภาคส่วน ทำกิจกรรมแบบมีส่วนร่วมประชาสัมพันธ์ปลุกกระแส สร้างจิตสำนึกแก่ประชาชนคนในเขตพื้นที่ให้ ลด ละ เลิก “หยุดพฤติกรรมการเผา” เพื่อรักษาธรรมชาติและอากาศอันบริสุทธิ์ เนื่องในวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งได้มีการนัดรวมพลสมาชิกจิตอาสา ของหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ เข้าร่วมทำกิจกรรมพร้อมกัน ณ ที่บริเวณสนามกีฬา ที่ว่าการอำเภองาว ตำบลนาแก อำเภองาว จังหวัดลำปาง มีนายอนวัช สัตตบุศย์ ปลัดจังหวัดลำปาง เป็นประธานนำกำลังพลเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดับไฟป่า เหยี่ยวไฟ เสือไฟ รวมถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า พร้อมด้วยกลุ่มพลังมวลชนจิตอาสาจากทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา ภาคเอกชน กลุ่มเครือข่ายอาสาสมัคร และประชาชนจิตอาสาในเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง เข้าทำกิจกรรมแบบมีส่วนร่วม รณรงค์ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือชาวลำปาง “หยุดเผา” ในช่วงเฝ้าระวังควบคุมปัญหา ตั้งแต่บัดนี้ จนถึง 30 เมษายน 2564

ทั้งนี้ด้วยจังหวัดลำปาง ถือเป็นจังหวัดพื้นที่เสี่ยงที่ต้องประสบกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันเป็นประจำทุกปี เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าแล้ง(ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน) ซึ่งการทำกิจกรรมดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการเชิงรุกที่จะแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันไฟของจังหวัดลำปาง ภายใต้แผนปฏิบัติการตามแนวทางประชารัฐ “คนลำปางสุขภาพดี เมื่อไม่มีหมอกควัน”

โดยสำหรับปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากการลักลอบจุดไฟเผาตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งในบริเวณพื้นที่โล่งแจ้ง และในเขตพื้นที่ป่า ซึ่งปัจจุบันขณะนี้หลายพื้นที่ของจังหวัดลำปาง ยังคงมีการลักลอบจุดไฟเผา จนทำให้มีกลุ่มควันปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ และค่าคุณภาพอากาศลดต่ำอยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยทางจังหวัดได้พยายามเร่งดำเนินการแก้ไขหาวิธีการที่จะป้องกัน ระงับและดับไฟที่เกิดจากการเผา รวมทั้งได้มุ่งเน้นที่จะใช้การประชาสัมพันธ์เป็นหัวใจหลักสำคัญในการดำเนินงาน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเชิงรุก กระตุ้นจิตสำนึกให้ประชาชนได้ตระหนักเห็นถึงปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากหมอกควันไฟ โดยมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลง หยุดพฤติกรรมการเผาของชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น ทั้งการจุดไฟเผาป่า การเผาในที่โล่งแจ้ง และการเผาเศษขยะทุกชนิดตามพื้นที่ชุมชนต่างๆ รวมทั้งยังเพื่อต้องการส่งเสริมสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วม ให้ประชาชนได้เข้ามาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเฝ้าระวังป้องกันปัญหาตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละภาคส่วน ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดลำปาง เป็นไปได้อย่างมีระบบและยั่งยืน

โดยในการทำกิจกรรมครั้งนี้ นายอนวัช สัตตบุศย์ ปลัดจังหวัดลำปาง ได้นำกลุ่มพลังมวลชนที่มาร่วมกิจกรรมฯ ร่วมกันกล่าวปฏิญาณตน “คนลำปางร่วมใจ ไม่เผาป่า คืนฟ้าใส ให้ชาวลำปาง” ซึ่งทุกคนได้ปฏิญาณตนว่า จะไม่เผาป่า หรือเศษวัชพืชใดๆ โดยเด็ดขาด และจะทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ในการปกป้องดูแลพิทักษ์รักษาทรัพยากรป่าไม้เอาไว้ เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดลำปางตลอดไป ซึ่งในส่วนนี้ทางกลุ่มผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และตัวแทนหน่วยงานองค์กรท้องถิ่น ในเขตท้องที่อำเภองาว ได้มีการลงนามในปฏิญญาร่วมกัน เพื่อเป็นการให้คำมั่นสัญญาโดยถือเอาความสุจริตและสิ่งศักดิ์สิทธิเป็นที่ตั้งว่าจะปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ได้กล่าวให้ไว้

และในโอกาสเดียวกันนี้ ปลัดจังหวัดลำปาง ได้ให้เกียรติเป็นประธานทำพิธีปล่อยแถวกำลังพลเจ้าหน้าที่เหยี่ยวไฟ เสือไฟ อาสาสมัครพิทักษ์ดับไฟป่า รวมถึงเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังออกปฏิบัติการดับไฟป่า และไปประจำตามจุดสถานีเฝ้าระวัง เพื่อคอยเป็นกำลังเสริมสนับสนุนและเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการเข้าปฏิบัติงานดับไฟป่าตามจุดบริเวณพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ตลอดจนคอยลาดตระเวนตามแนวเขตพื้นที่ป่า เพื่อเฝ้าระวังกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยที่อาจลักลอบเข้าไปก่อเหตุจุดไฟเผาป่าได้ โดยในส่วนนี้ทางจังหวัดลำปาง ขอประกาศแจ้งเตือนว่าขณะนี้ทางจังหวัดกำลังอยู่ในช่วงกำหนดใช้มาตรการคุมเข้มห้ามประชาชนเผาขยะ รวมถึงเศษวัชพืชทุกชนิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และห้ามเด็ดขาดที่จะกระทำการใดๆ ให้เกิดไฟลุกไหม้และลุกลามเข้าไปในเขตพื้นที่ป่า ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอาจต้องได้รับโทษในอัตราสูงสุด ปรับตั้งแต่ 400,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท และจำคุกตั้งแต่ 4ปี ถึง 20 ปี

ร่วมแสดงความคิดเห็น