สธ. พร้อมกระจายวัคซีนโควิด ล็อตแรก ไปยังโรงพยาบาล เพื่อฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย

วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2564) ที่คลังสำรองวัคซีนโควิด 19 องค์การเภสัชกรรม (คลังศรีเพชร DKSH) บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ถนนบางนา-ตราด กม. 19 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย Mr.Yang Xin อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และประธานองค์การเภสัชกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการลำเลียงวัคซีนโควิด 19 ล็อตแรกของบริษัทซิโนแวค จำนวน 2 แสนโดสเข้าสู่คลัง และระบบการจัดเก็บวัคซีนภายในห้องควบคุมอุณหภูมิมาตรฐาน โดยวัคซีนล็อตนี้ บรรจุในหลอดวัคซีน ใน 1 กล่องเล็ก มีวัคซีน 40 หลอด


นายอนุทินกล่าวว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายฉีดให้กับทุกคนในประเทศไทย ตามความสมัครใจ ช่วยเสริมระบบการป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยวันนี้ได้รับวัคซีนของบริษัทซิโนแวค ล็อตแรกจำนวน 200,000 โดสแล้ว จะได้รับเพิ่มอีก 800,000 โดสในเดือนมีนาคม 2564 และอีก 1 ล้านโดส ในเดือนเมษายน 2564 รวมทั้งสิ้น 2 ล้านโดส ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ในเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2564 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ในการจัดเก็บ บรรจุ ภายในห้องจัดเก็บยาเย็น (Cold Chain) และกระจายภายใต้มาตรฐานสากล และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเข้าไปตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐาน คาดว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้จะจัดส่งไปยังโรงพยาบาลตามแผนการฉีด ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อสม. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, พื้นที่ควบคุมสูงสุด, พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม รวม 18 จังหวัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ซึ่งระบบการเก็บและการจัดส่งวัคซีนจะควบคุมอุณหภูมิ ไว้ที่ 2-8 องศาเซลเซียส เพื่อคงคุณภาพของวัคซีน โดยวัคซีนโควิด 19 ของซิโนแวค ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผลของวัคซีน และขึ้นทะเบียนวัคซีนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 นอกจากนี้ จะได้รับวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าอีก 61 ล้านโดส ฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายระยะที่ 2 ในเดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2564 คาดว่าจะสามารถเปิดประเทศในปลายปี 2564 เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และปกป้องสุขภาพประชาชนได้


ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมระบบการจัดบริการฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ เพื่อลดอัตราป่วยและเสียชีวิต ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และเพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการควบคุมโรคโควิด 19 และมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จะฉีดให้ประชาชนทั่วไปและแรงงาน ในภาคธุรกิจบริการ ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม


สำหรับการฉีดในระยะแรก เมื่อวัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 มีแผนการฉีดในเดือนมีนาคม – พฤษภาคม จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายใน 18 จังหวัด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร, กรุงเทพมหานคร (ฝั่งตะวันตก), ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ, จ.ตาก (อ.แม่สอด), นครปฐม, สมุทรสงคราม, ราชบุรี, ชลบุรี, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย), เชียงใหม่, กระบี่, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, และเพชรบุรี สำหรับระยะที่ 2 เดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2564 จะฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตราเซนเนก้าอีก 61 ล้านโดส ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านโดสต่อเดือน นอกจากนี้ ได้ให้กรมควบคุมโรค เร่งดำเนินการเรื่องวัคซีนพาสปอร์ต ในการยืนยันตัวตัวตน หลังได้รับวัคซีนครบแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน สำหรับใช้ในการเดินทางไปต่างประเทศหรือในประเทศ ให้เป็นระบบดิจิทัลมากที่สุด รวมถึงให้เกิดการใช้งานเกี่ยวกับวัคซีนอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เกิดความครอบคลุมการใช้งาน และรองรับโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับวัคซีน “CoronaVac” ของซิโนแวค คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคได้มีข้อแนะนำ ว่า วัคซีนชนิดนี้ เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ให้ฉีดในประชาชนอายุ 18-59 ปี จำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ และมีการติดตามเฝ้าระวังอาการภาย หลังได้รับวัคซีนแต่ละเข็มเป็นระยะเวลา 30 วันหลังฉีด โดยในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงแนะนำให้ฉีดห่างกัน 2 สัปดาห์ ห้ามฉีดให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อยู่ในภาวะควบคุมไม่ได้ ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาทอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ และควรระวังในการฉีดในกลุ่มหญิงให้นมบุตร ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ สามารถให้วัคซีนโควิด 19 ร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคชนิดอื่นได้ โดยเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 14 วัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น