(มีคลิป) สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) นำม็อบครู ทั่วประเทศ จี้ เลขาธิการ สกสค.และเลขาคุรุสภาลาออก

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 เวลา 09.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ นายวีรบูล เสมาทอง ประธานสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย(ส.ค.ท.) และสมาชิกกว่า 100 คน มาจากองค์กรครูทั้ง 4 ภูมิถาค คือ สหพันธ์ครูภาคเหนือ สมาพันธ์ครูภาคใต้ ชมรมครูภาคกลางและชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเครือข่ายองค์กรครูทั่วประเทศ พร้อมชูป้ายระบุข้อความว่า “อยู่ไปก็ไร้ศักดิ์ศรี เปิดทางให้ครูดี เข้ามาดูแลสภาครู” “โค่นต้นไม้พิษในสภาครู” เดินทางยื่นหนังสือ เพื่อทวงคืนสภาครู เป็นของครู โดยครู เพื่อครู สู่คุณภาพผู้เรียน ต่อนายธนพร สมศรี เลขาธิการ สกสศ. โดยมีผู้แทนจาก สกสค. เป็นผู้รับเรื่องแทน

นายวีรบูล กล่าวว่า สืบเนื่องจากผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศได้รับผลกระทบและวิธีการของคำสั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ขาดขวัญและกำลังใจในการทำงาน คือ คำสั่งคสช.ที่ 7/2558 และคำสั่ง ที่ 17/2560 เรื่องการบริหารคุรุสภาและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยคำสั่งดังกล่าวเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบ ของคณะกรรมการคุรุสภา และเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะกรรมกรรมการสกสค. ซึ่งตัดองค์ประกอบอื่นโดยเฉพาะผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพ ให้เหลืออยู่เฉพาะสัดส่วนของข้าราชการประจำระดับสูงของกระทรวงเท่านั้น โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทำหน้าที่เป็นประธานมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปีแล้ว


นายวีรบูล กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติงาน เป็นผลให้คณะคสช.สิ้นสุดลง ตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แล้ว ส่งผลให้คำสั่งคสช.ที่7/2558 และที่ 17/2560 สิ้นสภาพลงไปด้วย แต่ ศธ.ยังคงให้คณะกรรมการชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่เรื่อยมา จนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 2 ปีแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ ดำเนินการสรรหา และแต่งตั้งคณะกรรมการคุรุสภาและ คณะกรรมการสกสค. ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ. 2546 เพื่อคืนสภาวิชาชีพให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้มีส่วนร่วม ในการบริหารจัดการและขับเคลื่อน ภารกิจของสภาวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการจัดการศึกษาเพื่อเด็กและเยาวชน ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป


สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) ขอเรียกร้องให้ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ ที่จะเข้าสภาจะต้องบัญญัติด้วยว่าผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาต้อง มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพื่อเป็นหลักประกันให้เด็กไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพจากผู้ประกอบวิชาชีพครู

นอกจากนี้ยังประกาศเจตนารมณ์เรียกร้องให้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับกอปศ.และฉบับประชาชนที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบส่งให้คณะกรรมการกฤษฏีกา ให้พิจารณาแก้ไขตามข้อเสนอของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องเด็กไทยให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพจากวิชาชีพครูและผู้ประกอบวิชาชีพครูต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มีสภาวิชาชีพของครูโดยครู เพื่อครูและลูกศิษย์ มีการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษา และคงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา


สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) ยังส่งจดหมายเปิดผนึก เรื่อง การตรวจสอบธรรมาภิบาลในกระทรวงศึกษาธิการถึง เลซาธิการคุรุสภา และเลขาธิการ สกสค.ด้วยปรากฏข้อมูลหลักฐานต่างๆ ว่าการสรรหาเลขาธิการคุรุสภาและเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) โตยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายณัฏฐพล ที่ปสุวรรณและพวก ได้บังอาจสมคบคิดกระทำพฤติกรรมฉ้อฉลเพื่อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง ขัดหลักธรรมาภิบาลสากลอย่างสิ้นเชิง เกิดเสียงวิจารณ์เคลือบแคลง สงสัย ถึงที่มาของการเข้ามาเป็นเลขาธิการ สกสค. ของนายธนพร สมศรี และเลขาธิการคุรุสภา ของนายติศกุล เกษมสวัสดิ์


สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) ประกอบด้วยสหพันธ์ครูภาคเหนือ สมาพันธ์ครูภาคใต้ชมรมครูภาคกลางและชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเครือข่ายองค์กรครูทั่วประเทศ ได้ประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ณ โรงแรมธนินทร อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ประชุมมีมติร่วมกันเป็นเอกฉันท์ให้ นายธนพร สมศรีและนายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งภายในเดือนมีนาคม 2564


เพื่อปกป้องระบบคุณธรรมในกระทรวงศึกษาธิการ และให้มีการสรรหาโดยเร็วตามกฎหมาย พรบ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยใช้กระบวนการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ผู้ได้รับการสรรหามีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์เพื่อบริหารองค์กรทั้งสองอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แห่งวิชาชีพชั้นสูง ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา และประชาชนให้การยอมรับ เพื่อป้องกันความเสียหายและตัดวงจรอุบาทว์ของกลุ่มผลประโยชน์ ป้องกันการดูถูกเหยียดหยามจากสังคม ที่ “สภาของครู” ทั้งคุรุสภาและ สกสค. มีผู้นำที่ไร้คุณสมบัติ (เฉพาะ) ไร้ความรู้ความสามารถ มีกระบวนการสรรหาได้มาของตำแหน่งที่ขาดหลักระบบคุณธรรมจึงเรียนมา เพื่อทราบและพิจารณาตนเอง “ลาออก” ตั้งแต่วันนี้สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.)

ร่วมแสดงความคิดเห็น