ออกมาแล้ว โค้ชหรั่ง ชำแหละฟุตบอลไทย หลังตกรอบ บอลโลก

ออกมาแล้ว กูรูลูกหนังเมืองไทย อ. หรั่ง ที่ใช้เวลาครึ่งชีวิตอยู่กับกีฬาฟุตบอล อดีตโค้ชทีมชาติไทย เผยฟุตบอลไทย ทำไมยิ่งพัฒนาแต่กลับถอยหลังลงคลอง หลังจากทีมฟุตบอลทีมชาติไทยที่มี อากิระ นิชิโนะ กุนซือใหญ่ชาวญี่ปุ่น นำทัพ ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชียรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้ โดยตกรอบคัดเลือก รอบสอง หลังจาก 2 นัดล่าสุด ทำได้แค่เสมอกับ อินโดนีเซีย 2-2 และแพ้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) 1-3 เหลือนัดสุดท้าย เจอ ทีมชาติมาเลเซีย ณ สนาม อัล มัคตูม สเตเดียม ในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 เวลา 23.45 น. (ตามเวลาประเทศไทย) แข่งขันเป็นนัดสุดท้าย

ล่าสุด “โค้ชหรั่ง”ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน อดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นรองประธานกรรมาธิการกีฬาวุฒิสภา เปิดเผยถึงมุมมองของการพัฒนาฟุตบอลไทยในปัจจุบันที่ยังติดขัดอยู่ว่า ข้อดีของทีมชาติไทยครั้งนี้คือเรื่องการบริหารจัดการ เราได้ผู้เล่นไปถึง 41 คน ตัวเลือกในสถานการณ์โควิด-19 ก็พอจะทำให้สถานการณ์ของเราได้เปรียบ ใน 41 คนคือมีครบหมด ทั้งผู้เล่นตัวเก๋า, ตัวปัจจุบัน และตัวดาวรุ่ง แม้กระทั่งผู้เล่นที่มาจากเลสเตอร์ น้องธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ซึ่งต้องบอกว่าเรามีครบเลย ตรงนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยที่เรามีตัวผู้เล่นครบ อันนี้ต้องชมสมาคมที่ยอมเสียงบประมาณมหาศาลในครั้งนี้เพื่อ 9 แต้ม”

“เรามองว่าการเจอยูเออีเราอาจจะหนักเพราะเป็นทีมจากตะวันออกกลาง แต่เอาเข้าจริง ยูเออีกับไทยเรา ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ผลัดกันแพ้-ชนะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเสมอด้วยซ้ำ ถ้าเราเจอ กาตาร์-ซาอุฯ-อิหร่าน-อิรัก ยังหนักกว่า ส่วนอินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ส่วนตัวผมไม่เคยอยู่ในสมองเลยบอกตรงๆ ผมขอใช้คำนี้เลย ผมกล้าพูดเลย ผมไม่เคยแพ้เลย แม้จะเป็นฟุตบอลนักเรียนก็ไม่เคยแพ้”

“พอตอนนี้ผ่านมา 2 แมตซ์ในคัดบอลโลก ก่อนนั้นมีการลงทีมอุ่นเครื่อง 3 นัด เราก็ต้องเอาเด็กที่ไปทั้ง 41 คนพยายามที่จะลงเล่นให้ได้เพื่อให้เห็นตัว จะได้ดูว่ามีใครเด่นตามตำแหน่งที่จิตนาการไว้ ซึ่ง 3 เกมอุ่นเครื่องก็คงจะเห็นแต่ละคนโชว์ฟอร์มเด่นกันคนละแบบ คือลองนึกดูได้เลย ถ้าเราเป็นโค้ช ถ้าเอาไปทั้ง 41 คน เราจะเลือกตัวได้ยากมาก ทีมเวิร์คจะไปยังไง”

“ยกตัวอย่างเกมกับอินโดนีเซีย ที่เสมอก็เหมือนเราแพ้ การเสีย 2 ประตูเหมือนความสัมพันธ์ในเกมรับไม่ดี ส่วนเกมกับยูเออีก็เช่นกัน เกมรับยืนเส้นตรงเพื่อเอาล้ำหน้า ถ้าเขาล้ำก็โอเค แต่ถ้าไม่ล้ำก็เสียประตู ถามว่าสูตรนี้เป็นยังไง ผมมองว่าไม่คุ้มกัน สูตรนี้ต้องซ้อมกันนานและต้องอาศัยความเข้าใจกันด้วย”

ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน กล่าวต่อว่า “ผมให้ข้อสังเกตุแบบนี้ดีกว่าครับ ผมตามและศึกษาโค้ชนิชิโนะเขาทำทีมมาตลอด ถือเป็นการศึกษาเขาด้วย เขาเป็นสไตล์ญี่ปุ่น สิ่งที่ญี่ปุ่นเขาทำ เขาจะหมุนโรเตชั่น สไตล์เขาคือการเอาเด็กสดๆลง ดังนั้นแต่ละแมตซ์เขาจะมีตัวหลักในสไตล์เขา ซึ่งจะแตกต่างจากโค้ชคนไทย คนเรา ไม่ว่าจะเป็นโค้ชซิโก้, ผมเอง หรือ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่เราเน้นไปที่เรื่องของทีมเวิร์คที่จะแตกต่างกัน มันจะเสียนิดนึงคือการเล่นในลักษณะทัวร์นาเมนต์เด็กจะกรอบ”

“ผมเชื่อว่าเกมกับมาเลเซียในเกมที่ 3 โค้ชนิชิโนะเขายิ่งจะเปลี่ยนเลย จะมีตัวหลักในสไตล์เขา และอาจจะไม่ซ้ำกับ 2 เกมแรก จริงๆการบริหารจัดการของสมาคมชุดนี้มันพร้อมมากๆ เหมือนขึ้นลิฟท์มาด้วย ไม่ต้องไต่เต้าอะไรมา เรียกได้ว่าขึ้นลิฟท์มาพร้อมเลยครับ เงินมีตั้ง 4,200 ล้านบาท ยุคเก่าทำไว้ให้ ยุคปัจจุบันก็มาใช้ มาทำ มาพัฒนา คือมันส่วนทางกับผลงาน อันนี้ก็ต้องขอเรียนตรงๆ โอเคว่าทีมบริหารอันนี้ไม่ว่ากัน แต่ทีมเทคนิคหละครับ ที่จะพัฒนาอย่างไรให้ฟุตบอลดีขึ้น เก่งขึ้น ก้าวไปสู่เอเชียให้ได้ นี่เราย้อนกลับไปอาเซียนใหม่อีกแล้ว”

“สมาคมบอกเองว่า เราจะต้องก้าวข้ามผ่านอาเซี่ยน วันที่ปลดซิโก้ก็เป็นแบบนี้ วันที่ผมลาออกก็เหมือนกัน เพราะว่าเราจะไปตกรอบคัดบอลโลกนี่แหละ หรือ เอเชี่ยนคัพ” ผมให้ข้อคิดไปแล้วว่า ถ้าเรายังไม่มีโมเดล ยังไม่มีความสามารถเฉพาะตัวของนักฟุตบอลตั้งแต่เด็กไปจนถึงระดับอาชีพ ถ้าความสามารถเฉพาะตัวยังไม่เทียบเท่าระดับเอเชีย เราไม่มีทางเลยครับ ผมฟันธงมานานแล้ว สิ่งที่สมาคมต้องทำ คือ ท่านต้องไปจ้างโค้ชเก่งๆ ระดับทีมชาติมาพัฒนาความสามารถเฉพาะตัวของนักฟุตบอลครับ ยังไม่ต้องไปคิดถึงระบบอะไรหรอกครับ ต้องเอาความสามารถเฉพาะตัวให้ได้ก่อน ทุกอย่างก็สะท้อนให้เห็นว่า คุณลองไปดูได้เลย ทั้ง 41 คนของทีมชาติไทยชุดนี้ เล่นในระดับเอเชียได้กี่คน”

ร่วมแสดงความคิดเห็น