(มีคลิป) กลุ่มตัวแทนผู้เสียหาย หอบหลักฐานร้องสื่อ สุดทนพฤติกรรมหนุ่มเจ้าของอู่รถ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ลวงซ่อมรถ เรียกเก็บค่าอะไหล่ สุดท้ายเชิดทั้งเงินค่าซ้อมและรถเอาไปขาย

วันนี้ (19 ก.ค.64) รายงานข่าวแจ้งว่า ทางกลุ่มผู้เสียหายทั้งหญิงและชายหลายราย ได้หอบหลักฐานเดินทางเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน กรณีที่ผู้เสียหายทุกคนถูกทาง นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ มีพฤติกรรมฉ้อโกง โดยผู้เสียหายหลายรายระบุว่าได้ถูกชายคนดังกล่าวหลอกขายรถแล้วไม่ได้รถ และบางรายนำรถไปซ่อมที่อู้ แต่กลับลวงว่าต้องเปลี่ยนอะไหล่ แล้วเรียกเก็บเงินค่าซ่อมก่อน และต่อมาก็ไม่ได้รถคืน รวมทั้งยังมีบางรายที่ได้นำรถไปซ่อมแล้วถูกแกะอะไหล่ไปขาย แต่เมื่อผู้เสียหายทั้งหมดไปตามทวงหรือแจ้งความดำเนินคดี ชายคนดังกล่าวกลับบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมคืนเงินให้ และเมื่อเรื่องถึงตำรวจก็จะไปพูดจาไกล่เกลี่ย จนทำให้ผู้เสียหายหลายรายเสียทรัพย์สิน และเสียเวลาที่ต้องมาตามเรื่องเรียกร้องชดใช้ค่าเสียหาย หรือตามเอาทรัพย์สินตัวเองคืน นอกจากนี้มีผู้เสียหายรายหนึ่งบอกด้วยว่าถูกหลอกให้เสียเงินมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้ เพราะทางคู่กรณีชายเจ้าของอู่รถนั้นไม่ยอมคืน จนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ทรัพย์สินถูกเอาไปโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา

 

ขณะที่จากการสอบถามผู้เสียหายที่มาร้องเรียนกับทางสื่อมวลชนบอกว่า ก่อนหน้านี้ชายคนดังกล่าวยังมีการเปิดเพจเฟสบุ๊ก โฆษณาชวนเชื่อในเรื่องของการขายอะไหล่รถยนต์ และการขายรถมือสอง ในราคาถูก โดยทางเจ้าของอู่รถนั้นก็มีการโพสต์ภาพ หรือไลฟ์สด เกี่ยวกับการขายสินค้าในอู่ แต่เมื่อหลงเชื่อและติดต่อซื้อขายก็ไม่ได้สินค้า และเสียเงินไปแล้ว รวมไปถึงผู้เสียหายบางรายยังเคยถูกชายคนดังกล่าวนี้ทักมายืมเงิน และมีหลักฐานการโอนเงินเป็นเอกสารหลักฐานอีกจำนวนมาก แต่เมื่อทวงคืนก็กลับไม่ได้เงิน และชายคนดังกล่าวก็ยังมีทีท่าพูดจาข่มขู่ ทั้งๆ ที่เป็นคนนำทรัพย์สินไปและผู้เสียหายกลับเป็นคนผิดเสียเอง จนกระทั่งสุดท้ายต้องเอาหลักฐานมาร้องเรียนกับสื่อมวลชนเพื่อช่วยนำเสนอข่าวเตือนภัยกับเจ้าของอู่รถคนนี้ ซึ่งตอนนี้คาดว่ามีผู้เสียหายที่ถูกชายคนดังกล่าวฉ้อโกงในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ราย ทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ ด้วย

 

 

โดยทางด้าน นางสุนิสา จายคำ อายุ 37 ปี ชาว อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนกับสามีได้นำรถไปซ่อมที่ร้านของ นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) ซึ่งเปิดเป็นอู่ซ่อมรถอยู่ที่บริเวณ ซอยรุ่งโรจน์อะไหล่ยนต์ ต.ท่าศาลา อ.เมืองเชียงใหม่ โดยได้นำรถไปทำกระจกให้เปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้า โดยทางเจ้าของอู่รถก็ให้ตนโอนเงินค่าทำกระจกพร้อมทั้งเอารถไปทิ้งไว้ที่อู่ แต่ต่อมาทางเจ้าของอู่ก็พูดจาบ่ายเบี่ยงอยู่ตลอด จนขณะนี้ผ่านไปได้ประมาณเดือนกว่าแล้ว ตนก็ยังไม่ได้รถที่เอาไปซ่อมคืน อีกทั้งยังเสียเงินค่าซ่อมไปอีกประมาณ 4,000 กว่าบาท และจากการสอบถามกับทางเจ้าของอู่ก็ยังคงพูดจาบ่ายเบี่ยงว่ายังซ่อมไม่เสร็จ และยังคงบอกกับตนคำเดิมๆ หลายครั้ง จนตนได้เอาหลักฐานเดินทางเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ช้างเผือก แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า และก็พยายามติดตามทวงเอาทรัพย์สินตัวเองคืนจนรู้สึกท้อและไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้รวมกลุ่มกับผู้เสียหายรายอื่นๆ ขอร้องเรียนต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ เพราะนอกจากตอนนี้ตนจะเสียเงินค่าซ่อมแล้วยังต้องเสียรถที่ตัวเองเอาไปซ่อมอีกด้วย และเมื่อเข้าไปพูดคุยกับทางเจ้าของอู่ก็พูดสารภาพว่าได้เอารถไปขาย และบอกจะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เงินคืนและไม่เจอตัวอีกเลย และในขณะนี้ก็ยังรอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกชายคนดังกล่าว ซึ่งตนอยากขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเนื่องจากไม่อยากให้ถูกปล่อยลอยนวล เพราะเกรงว่าจะเป็นภัยต่อสังคม อีกทั้งตนก็ยังต้องเสียเวลาที่มาวิ่งเต้นตามเอาทรัพย์สินของตัวเองที่ถูกเอาไปแทนที่จะเอาเวลาดังกล่าวไปทำมาหากินอีกด้วย

 

 

ส่วนทางด้าน นางสาวเจนจิรา มาหมื่น อายุ 26 ปี หนึ่งในผู้เสียหายที่มาร้องเรียน เล่าว่า พี่ชายได้ไปติดต่อซื้อรถกับทาง นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) ในราคา 24,000 บาท ซึ่งตอนแรกได้โอนเงินก้อนแรกไป 12,000 บาท และต่อมาโอนไปอีกครั้ง 12,000 บาท แต่ทาง นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) ก็อ้างว่าต้องเสียค่าดำเนินการเล่มรถอีก 12,000 บาท อีกทั้งยังขอค่าน้ำมันขับมาส่งอีก 1,200 บาท และยังมีค่าอะไหล่อีกประมาณ 2,500 บาท โดยตนก็มาทราบภายหลังว่ารถคันดังกล่าวที่ติดต่อซื้อขายกับ นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) เป็นรถของผู้เสียหายอีกรายและยังเป็นรถคันเดียวกันที่มีผู้เสียหายในกลุ่มติดต่อซื้อขายด้วย ซึ่งหลังจากนั้นตนก็ได้ดำเนินการแจ้งความไปแล้ว แต่คดีก็ยังไม่คืบหน้า และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืนเช่นกัน

 

ทางด้าน นายประสิทธิ์ อันทุ อายุ 26 ปี ผู้เสียหายอีกราย เล่าว่า กรณีของตนได้นำรถไปซ่อม แต่ต่อมาช่วงดังกล่าวทาง นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) เจ้าของอู่รถแจ้งว่าได้ประสบอุบัติเหตุ ตนจึงไม่ได้ติดตามเรื่องมาระยะหนึ่งเพราะคิดว่าเจ้าของอู่คงทำงานไม่ได้ จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีภายหลังว่าตัวเองโดนโกง อีกทั้งตนยังได้ติดต่อซื้อขายรถยนต์มือสองอีกคันหนึ่งกับทาง นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) ในราคาประมาณ 70,000 กว่าบาท และตนได้โอนเงินไป 2 ครั้ง โดยครั้งแรกโอนเงินไป 25,800 บาท และอีกครั้งเป็นเงิน 42,000 บาท และยอดเงินที่เป็นค่าซ่อมรถอีกประมาณ 50,000 กว่าบาท โดยหลังจากนั้นตนก็พยายามติดตามเอาเงินคืน และมาทราบอีกด้วยว่ารถที่ นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) เจ้าของอู่ติดต่อขายให้กับตนนั้นยังได้เอาไปหลอกขายกับน้องผู้หญิงผู้เสียหายกลุ่มเดียวกันอีกด้วย จนในตอนนี้หลังจากที่ตนพยายามติดตามเงินคืนรวมระยะเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ทั้งแจ้งความและติดตามเอง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าจนกระทั่งตอนนี้ตนคิดว่าคงไม่ได้เงินคืนแล้ว เนื่องจากพบว่าชายคนนี้ไปโกงผู้เสียหายรายอื่นๆ ไว้อีกมาก และแค่ในส่วนของตัวเองที่ถูกโกงไปนั้นก็อยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท และรถที่ตอนแรกเอาไปซ่อมก็ถูกโกงไปจนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว

 

อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ตนอยากเตือนภัยกับประชาชน หรือผู้ที่เอารถไปซ่อมตามอู่ต่างๆ ว่าควรตรวจสอบให้ดี และควรมีเอกสารหลักฐานในการรับรถว่าจะได้วันไหน เพื่อหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็จะสามารถนำเอาไปดำเนินการใช้เป็นหลักฐานแจ้งความได้ เนื่องจากเคสของตนที่เกิดขึ้นนี้จากการที่ตนเองเอาเรื่องไปแจ้งความก็พบว่าไม่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งยังพบว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเคยรับแจ้งคดีที่เกี่ยวกับ นายธีรพงษ์ (สงวนนามสกุล) มาแล้วหลายคดี จึงอยากเตือนให้ประชาชนหรือผู้ที่จะนำรถไปซ่อมกับอู่นี้ตรวจสอบให้ดีด้วย เพราะไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงอีก

ร่วมแสดงความคิดเห็น