อินเดีย เผยผลวิจัยพบประชากร 2 ใน 3 มีภูมิต้านทานโควิด-19 ในร่างกายแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 64 สำนักข่าวชินหัว รายงานว่า อินเดียจัดทำการสำรวจสิ่งส่งตรวจที่รวบรวมจากประชากร (serosurvey) ครั้งที่ 4 เพื่อประเมินระดับแอนติบอดีต้านโรคโควิด-19 ในประชากรอินเดีย และพบสัดส่วนประชาชนช่วงอายุ 6 ปีขึ้นไป ที่มีแอนติบอดีต้านโรคโควิด-19 อยู่ที่ร้อยละ 67.6

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียระบุว่ายังมีประชาชนเสี่ยงติดเชื้อราว 400 ล้านคน พร้อมเตือนประชาชนอย่านิ่งนอนใจและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงกระต้นผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

“ผลสำรวจสิ่งส่งตรวจ ครั้งที่ 4 ทำให้เราห็นแสงแห่งความหวัง แต่เราจะประมาทไม่ได้ เราต้องประพฤติตนอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ต่อไป” พลราม ภควา หัวหน้าสภาวิจัยฯ กล่าว

ผลสำรวจเก็บข้อมูลจากประชาชน 36,227 คน ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ 7,252 คน ระหว่างเดือนมิฤนายน – กรกฏาคม และพบกว่าร้อยละ 50 ของเด็กอายุ 6-17 ปิ้ ทั้งหมด 8,691 คน มีแอนติบอดีแล้ว โดยอินเดียจัดทำการสำรวจระดับประเทศเพื่อตรวจหาแอนติบอดี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นครั้งแรก ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่าการระบาดในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อเด็ก

เด็กที่เข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้เกินครึ่งมีผลตรวจทางเซรัมวิทยาเพื่อหาแอนติบอดี้เป็นบวก (seropositive) และมีประวัติติดเชื้อโรคโควิด-19 โดยสภาวิจัยฯ แนะนำรัฐบาลแต่ละรัฐปิดโรงเรียนประถมเป็นอันดับแรก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนทุกคนฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว

สิ่งสำคัญคือผลสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ฉัดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วมีสัดส่วนความชุกของเชื้อไวรัสฯ (seroprevalence) สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีด โดยควากล่าวว่ากลุ่มคนที่ยังไม่ฉัดวัคซีนมีผลตรวจทางเซรัมวิทยาเพื่อหาแอนติบอดีเป็นบวกร้อยละ 62.3 ส่วนกลุ่มที่ฉีดวัคซีนโดสเดียวอยู่ที่ร้อยละ 81 และผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วอยู่ที่ร้อยละ 89.8 บุคลากรทางกรแพทย์เป็นกลุ่มที่มีความชุกของเชื้อไวรัสฯ สูงสุดอยู่ที่ร้อยละ85.2 และร้อยละ 10 ของคนกลุ่มนี้ยังไม่ได้ฉีตวัคซีน

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น