สิ่งที่ควรพิจารณา ในการเลือกโบรกเกอร์ออนไลน์

ปัจจุบันมีโบรกเกอร์ออนไลน์จำนวนมาก ที่ให้บริการด้านการลงทุนและออนไลน์เทรดดิ้ง ซึ่งการเลือกโบรกเกอร์ออนไลน์ ให้ตรงตามความต้องการของนักลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น เราจึงควรมีเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ออนไลน์ เพื่อให้ได้โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ และมีคุณภาพ ซึ่งมีเกณฑ์หลัก ๆ ดังนี้

1. ข้อบังคับในการซื้อขาย

ข้อบังคับในการซื้อขายถือเป็นข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์ เพราะหากโบรกเกอร์ที่เราเลือกไม่มีข้อบังคับในการซื้อขาย เงินฝากในการลงทุนก็จะไม่มีความปลอดภัยหรือมีความปลอดภัยต่ำ ซึ่งมีโบรกเกอร์ออนไลน์จำนวนมากที่ยังไม่มีการกำหนดข้อบังคับ ควบคุม ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีข้อบังคับและน่าเชื่อถือ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลที่มีชื่อเสียง เช่น National Futures Association (NFA), Financial Conduct Authority (FCA), Australia Securities and Investments Commission (ASIC), Cyprus Securities and Exchange Commission (CySEC), International Financial Services Commission (IFSC) เพราะหากนักลงทุนพบข้อสงสัยใด ๆ ที่เกิดจากโบรกเกอร์ออนไลน์เหล่านี้ ก็สามารถทำเรื่องฟ้องร้องกับหน่วยงานเหล่านี้ได้เลย ซึ่งมาตรการควบคุมและรักษาความปลอดภัยที่ดำเนินการโดยโบรกเกอร์เหล่านี้ ได้แก่ การแยกบัญชีและการมีส่วนร่วมในกองทุนค่าตอบแทนลูกค้า เป็นต้น

2. กำหนดฝากขั้นต่ำและยอดขั้นต่ำ

โบรกเกอร์บางรายกำหนดให้นักลงทุนต้องเติมเงินเข้าบัญชีเป็นจำนวนหนึ่งก่อนจึงจะสามารถซื้อขายได้ ซึ่งหากยอดเงินคงเหลือของนักลงทุนต่ำกว่าที่กำหนด นักลงทุนก็จำเป็นจะต้องฝากเงินเพิ่มเพื่อให้มียอดขั้นต่ำตามที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์จะกำหนดระดับเงินฝากขั้นต่ำที่แตกต่างกัน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ที่กำหนดเงินฝากขั้นต่ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่ตรงกับเงินทุนของตนเองหรืออยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

3. ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย

ค่าธรรมเนียมการซื้อขายถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะค่าธรรมเนียมคือต้นทุนในการซื้อขาย นักลงทุนอาจไม่สามารถควบคุมผลตอบแทนจากการลงทุนได้ แต่สามารถรู้ต้นทุนการซื้อขายของตนเองได้ล่วงหน้า ซึ่งก็คือค่าธรรมเนียมจากการเทรดดิ้งนั่นเอง จริงอยู่ว่า ค่าธรรมเนียมการซื้อขายของโบรกเกอร์โดยทั่วไปจะค่อนข้างต่ำ แต่ถ้านักลงทุนสามารถเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อนักลงทุนได้ซื้อขายไปสักระยะหนึ่ง แล้วเปรียบเทียบกับโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมสูงกว่า จะพบว่าค่าธรรมเนียมมีผลต่อสัดส่วนของกำไรอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าค่าธรรมเนียมสูง กำไรก็จะลดลง ตรงกันข้าม หากค่าธรรมเนียมต่ำ สัดส่วนกำไรจะเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่ต่ำกว่านั่นเอง

นอกจากนี้ โบรกเกอร์บางแห่งยังเสนอบัญชีหลายประเภทด้วยค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกบัญชีที่ตรงกับสไตล์การซื้อขายของตัวเองได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น บัญชีที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น (บัญชีมาตรฐาน) และบัญชีที่มีค่าคอมมิชชัน แต่มีสเปรดต่ำ (บัญชี ECN) ซึ่งหากนักลงทุนกำลังซื้อขาย (เดย์เทรดหรือ Scalping) บัญชีที่มีสเปรดต่ำจะมีความได้เปรียบมากกว่า ในทางกลับกัน หากการเทรดของนักลงทุนมักจะอยู่ในตำแหน่งเดิมในช่วงหลายวันหรือหลายสัปดาห์ บัญชีที่ไม่มีค่าคอมมิชชันจะประหยัดได้มากกว่า

4. เครื่องมือวิจัย

เครื่องมือวิจัยที่โบรกเกอร์เสนอให้นักลงทุนเพื่อช่วยวิเคราะห์ทิศทางตลาดถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลือกโบรกเกอร์ เพราะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค จะต้องมีแพลตฟอร์มการซื้อขายที่มีเครื่องมือที่จำเป็นในการวิเคราะห์ ซึ่งบางแพลตฟอร์มอาจจะมีอุปกรณ์ที่ดีกว่าแพลตฟอร์มอื่น สำหรับผู้เริ่มต้นหรือนักลงทุนมือใหม่แล้ว แพลตฟอร์มการซื้อขายอย่าง Metatrader จัดว่าสามารถครอบคลุมทุกความต้องการของนักลงทุนได้ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวจะมีตัวชี้วัดทางเทคนิคและเครื่องมือวาดภาพที่นักลงทุนสามารถใช้อินดิเคเตอร์ของตนเองได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหรือเทรดเดอร์มืออาชีพย่อมต้องการแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น เครื่องมือคัดกรองเพื่อช่วยเขาค้นหาโอกาสทำกำไร ฟีดข่าว รวมถึงการใช้งานวิเคราะห์หลายหน้าจอ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและทิศทางราคาในเชิงลึก และสร้างโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือดังกล่าวจะให้บริการโดยโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น IG หรือ Saxo Bank แพลตฟอร์ม SaxoTraderPRO ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ล้ำหน้าที่สุดสำหรับการซื้อขายออนไลน์ เป็นต้น

นอกจากเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิกแล้ว นักลงทุนที่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควรจะพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ที่นำเสนอข้อมูลทางการเงินอย่างต่อเนื่องด้วย เช่น ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวจากบริษัทจดทะเบียน ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

สรุป

โบรกเกอร์แต่ละรายจะมีเงื่อนไขการซื้อขายที่แตกต่างกันไป โดยรูปแบบการซื้อขายของนักลงทุนรายหนึ่งอาจเหมาะกับข้อเสนอของโบรกเกอร์รายหนึ่งและอาจไม่เหมาะกับข้อเสนอของโบรกเกอร์รายอื่นก็ได้ ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ตรงกับสไตล์ของนักลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนได้ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนักลงทุนจะต้องทราบถึงกฎระเบียบและข้อเสนอก่อนที่จะเริ่มฝากเงินครั้งแรกนั่นเอง ซึ่งนอกจากนี้ นักลงทุนควรจะพิจารณาข้อกำหนดฝากขั้นต่ำและยอดขั้นต่ำ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายร่วมด้วย เพราะปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้จะส่งผลต่อผลตอบแทนของนักลงทุนได้

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น