(มีคลิป) “อนุทิน” พร้อมคณะเดินทางเยือนเชียงใหม่ ติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่

“อนุทิน” พร้อมคณะเดินทางเยือนเชียงใหม่ ติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ เผยคาดการณ์แล้วว่าหลังเทศกาลจะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มแต่มั่นใจมาตรการป้องกันและยับยั้งการระบาด

ช่วงเย็นวันนี้ (14 ม.ค. 65) ที่บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติ เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บริเวณจุดตรวจ ATK และจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ตั้งอยู่บริเวณทางออกของสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ พร้อมกันนี้ยังได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจ ATK ให้กับตนเองภายหลังจากเดินทางลงจากเครื่องบิน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่จุดดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้เข้าทำการตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และให้กำลังในเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งภายในและภายนอกท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่อีกด้วย

โดยทาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดแถลงหลังการตรวจเยี่ยมสถานที่ว่า ในการเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้ เพื่อมาตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยจุดแรกคือท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ที่มีการตั้งจุดตรวจ ATK และจุดฉีดวัคซีน ให้กับทางผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งการดำเนินการนี้ก็เป็นความสมัครใจของผู้โดยสารที่ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด เนื่องจากผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่จะเดินทางเข้ามาในพื้นที่นั้นก็จะได้รับการตรวจมาก่อนอยู่แล้ว และเมื่อมาถึงก็มาตรวจซ้ำอีกรอบเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจ นอกจากนี้ยังมีบริการรับวัคซีนได้ทันที หากผู้เดินทางคนไหนยังไม่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 โดยวัคซีนที่นำมาฉีดนั้นได้มีการจัดสรรให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม และเข็ม 3 เป็นวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” และวัคซีน “ไฟเซอร์” ไว้ให้บริการกับผู้โดยสารที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ ที่ถือเป็นการเตรียมความพร้อมได้ดีอีกทางหนึ่งของเจ้าหน้าที่และของจังหวัดเชียงใหม่ ในการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในการเดินทาง

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันในส่วนของการรับวัคซีนนั้น ตนมั่นใจว่าหากประชาชนได้รับวัคซีนเข็ม 3 ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและลดอัตราการติดเชื้อได้มากขึ้น โดยหากรับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม และได้รับการเติมเข็ม 3 ด้วย “แอสตร้าเซนเนก้า” หรือ “ไฟเซอร์” ที่ล่าวุดทางกรมควบคุมโรคก็ได้มีการแถลงถึงผลการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ที่หากฉีด “ซิโนแวค” 2 เข็ม เติมด้วย “แอสตร้าเซนเนก้า” หรือ “ซิโนแวค” 2 เข็ม เติมด้วย “ไฟเซอร์” หรือ “แอสตร้าเซนเนก้า” 2 เข็ม เติมด้วย “ไฟเซอร์” จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีหากทุกคนได้รับวัคซีนและมีภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงหมดโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิต รวมไปถึงหากยังมีการติดเชื้ออยู่ ก็ยังมีสถานพยาบาลเพียงพอ มีเวชภัณฑ์ ยา และเครื่องมือทางการแพทย์ ในการดูแลผู้ติดเชื้อ โดยผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการก็ใช้ระบบ “home isolation” หรือการกักตัวอยู่ที่บ้าน ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขที่มีแนวทางปฏิบัติไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการใช้ระบบ “home isolation” คำว่า “เตียงเต็ม” ก็จะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอไมครอน ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการและเมื่อไม่แสดงอาการก็สามารถเข้าสู่ระบบ “home isolation” ได้ และไม่มีทางที่โรงพยาบาลจะไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ รวมไปถึงหากประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่ขอความร่วมมือไปแล้วนั้นทุกคนก็จะปลอดภัย

อย่างไรก็ตามในส่วนของการพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ที่พบว่ามียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่าตนมีความกังวลอยู่บ้าง แต่จากสถานการณ์ดังกล่าวก็ได้มีการประเมินไว้แล้วว่ามีการเตรียมการไว้แล้วหรือไม่ อย่างเช่นในขณะนี้พบว่าการแพร่ระบาดส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอไมครอน และก่อนหน้านี้สายพันธุ์เดลต้า ก็ได้มีการควบคุมการแพร่ระบาดไว้ได้ หากในส่วนของสายพันธุ์โอไมครอน ไม่ได้มีฤทธิ์ที่รุนแรงไปมากกว่าสายพันธุ์เดลต้า ก็ถือว่ามีความปลอดภัย และในส่วนของการเตรียมการก็ถือว่ามีความพร้อมอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าจะมีการติดเชื้อเป็นจำนวนมาก แต่ก็เป็นการคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีการเดินทาง ไป-มา และการเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก แต่ที่ปล่อยให้มีการเฉลิมฉลองเพราะมั่นใจว่า ต่อให้มีการติดเชื้อ ผู้คนที่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็จะไม่มีอาการรุนแรง รวมถึงความพร้อมในการเตรียมระบบ การรองรับผู้ป่วย ที่มีการใช้ “home isolation” และโรงพยาบาลต่างๆ ที่ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีความพร้อมในการรองรับผู้ป่วยที่ต้องการรับการรักษา

ร่วมแสดงความคิดเห็น