ศิษย์ธรรมกาย เชียงใหม่ ป้อง”ธัมมชโย” บุกร้องศูนย์ดำรงธรรม ส่งเรื่องถึงคสช. โวยป้ายสีรับบริจาค 600 ล้าน วอนให้สังคมเข้าใจ

image-511-800x534ชาวพุทธศิษย์พระธรรมกาย นำโดยสมาคมสร้างสรรค์ไทย ยกขบวนร้องศูนย์ดำรงธรรมเชียงใหม่ ในนามลูกพระธัมมชโย วอนขอความเป็นธรรมไปถึงรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมกันทุกศูนย์ทั่วประเทศ ระบุต้องการผดุงพระพุทธศาสนา ยุติการให้ร้ายป้ายสี กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นถวายเงินหกร้อยกว่าล้านให้วัดธรรมกาย ชี้วัดรับมาโดยสุจริตแถมคืนเงินให้ครบถ้วนแล้ว แต่พระธัมมชโย ยังถูกกล่าวหา บรรดาศิษย์ทนเห็นสภาพหลวงพ่อฯอาพาธโรคเบาหวานจนเท้าเปื่อย ซ้ำยังถูกย่ำยีจิตใจไม่ไหว พากันรวมตัวออกมาแสดงจุดยืนขอให้สังคมเข้าใจ

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 พ.ค.59 ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ สมาคมสร้างสรรค์ไทย โดยนายกสิณวัชร์ ศรีสุริยมาตย์ นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย ตัวแทน “ลูกพระธัมมชโย” พร้อมคณะศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ 100 คน เข้ายื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมกับ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ซึ่งเป็นศูนย์ราชการรับเรื่องร้องทุกข์สูงสุดของจังหวัดไปถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. โดยหนังสือร้องขอความเป็นธรรม กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ตั้งข้อกล่าวหาเสมือนว่าจงใจจะดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) กระทำความผิดสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แถลงข่าวอย่างครึกโครม ว่าได้ออกหมายเรียกหลวงพ่อธัมมชโย เป็นคดีใหม่คือคดีพิเศษที่ 27/2559 และพยายามขอให้ศาลออกหมายจับหลวงพ่อ แต่ศาลไม่ออกหมายจับตามที่เป็นข่าวนั้น

คณะศิษย์พระธรรมกาย และพระธัมมชโย เห็นว่าการกระทำของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย และไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง การตั้งข้อหาความผิดฐานรับของโจรและฟอกเงิน กับหลวงพ่อธัมมชโย เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง ขัดกับข้อเท็จจริง และไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายอาญา โดยหนังสือร้องขอความเป็นธรรมสรุปประเด็นหลักคือ

ประเด็นที่ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทำการขัดต่อเจตนารมณ์กฎหมายเพราะเป็นการนำเอามูลเหตุสืบเนื่องมาจากการรับเช็คบริจาคที่ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตผู้จัดการสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น นำมาบริจาคให้กับ วัดพระธรรมกาย และหลวงพ่อธัมมชโย เพราะเรื่องเช็คบริจาคดังกล่าว ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้ฟ้องดำเนินคดีไปแล้ว ตามคำสั่งคดีพิเศษที่ 146/2556 และคำสั่งคดีพิเศษที่ 63/2557 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ดังนั้นการดำเนินคดีใหม่ตามคำสั่งคดีพิเศษที่ 27/2559 เป็นการดำเนินคดีซ้ำและซ้อนกับคำสั่งคดีพิเศษที่ 146/2556/ และคำสั่งคดีพิเศษที่ 63/2557 ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักแห่งความยุติธรรม และขัดต่อเจตนารมณ์แห่งกฎหมายที่ว่า “การกระทำกรรมเดียวย่อมดำเนินคดีได้ครั้งเดียว”

ประเด็นข้อ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตั้งข้อกล่าวหาที่ขัดกับความเป็นจริง เพราะความผิดฐานรับของโจร และการฟอกเงินถือเป็นความผิดทางอาญา ฉะนั้นผู้กระทำจะต้องมีเจตนาทุจริต จึงจะถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา ทั้งนี้ หลวงพ่อธัมมชโย ได้รับเงินมาโดยการรับบริจาคโดยสุจริต เป็นกิจปกติของสงฆ์ เป็นการเปิดเผยต่อสาธารณะชน ประชาชนทั่วไปรับรู้ รับทราบและ นำเงินไปใช้ในกิจการศาสนา โดยผ่านคณะกรรมการวัดพระธรรมกาย ถูกต้องตามกฎหมายสงฆ์ และเป็นไปตามประเพณีปฏิบัติ ไม่ได้นำไปซุกซ่อน หรือไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จึงไม่เป็นความผิด ซึ่งหลวงพ่อธัมมชโย ได้อุปสมบท ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 และดำรงสมณเพศ เป็นพระภิกษุสงฆ์ตลอดระยะเวลา จนถึงปัจจุบันร่วม 47 พรรษา ไม่เคยเป็นผู้บริหารหรือไปร่วมบริหารร่วมดำเนินการหรือรู้เห็นในกิจการใดๆ ของ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแต่อย่างใด

เมื่อหลวงพ่อธัมมชโย ไม่ได้ร่วมกระทำความผิด หรือรู้เห็นถึงการกระทำใดๆ ของสหกรณ์เครดิตยูเนียม คลองจั่น จึงไม่ได้ร่วมกระทำความผิดแต่อย่างใด เมื่อนายศุภชัย ศรีศุภอักษร เป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นนักธุรกิจที่ได้รับเกียรติคุณมากมาย เป็นนักบริหารสหกรณ์ดีเด่นได้รับรางวัล ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเป็นผู้บริจาคให้แก่หน่วยงานภาครัฐ โรงเรียน มหาวิทยาลัย องค์กรการกุศลหลายต่อหลายแห่ง จึงไม่เป็นเรื่องแปลก หรือมีเหตุสงสัยใดๆในการบริจาค เมื่อได้บริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย และบริจาคให้หลวงพ่อธัมมชโย เป็นการปฏิบัติตามปกติของนายศุภชัย โดยหลวงพ่อไม่ร่วมสนับสนุนหรือบังคับ หลวงพ่อจึงไม่มีความผิด ประการต่อมาหลวงพ่อธัมมชโย มีเจตนาสุจริต และเป็นพระนักปฏิบัติที่ประกอบแต่คุณความดี ทำนุบำรุงกิจทางศาสนา เผยแพร่พุทธศาสนา ช่วยเหลือบำรุงกิจของสงฆ์ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ คุณานับประการ โดยได้นำเงินได้จากการบริจาคไปบริจาคต่อ ทั้งได้ใช้ไปในกิจการสาธารณะกิจประโยชน์ดังกล่าว จำนวน หลายหมื่นล้าน ได้รับประกาศเกียรติคุณในคุณงามความดีมากมาย จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวพุทธ สายตาชาวโลกทั่วไป โดยสรุปแล้ว เมื่อหลวงพ่อไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่มีการกระทำใดที่เข้าข่ายมูลฐานของการฟอกเงิน และไม่ควรถูกกล่าวหาให้ร้ายด้วยการตั้งข้อหาความผิดในทางอาญา แต่อย่างใด

นายกสิณวัชร์ กล่าวว่า วันนี้กลุ่มผู้ร้อง จึงมายื่นหนังสือร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้กับหลวงพ่อธัมมชโย ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ไปถึงรัฐบาลได้ช่วยดำเนินการต่างๆ เพื่อปกป้องพุทธศาสนา ปกป้องสงฆ์ผู้ประพฤติปฏิบัติแต่คุณงามความดีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง จึงขอให้ศูนย์ดำรงธรรม ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการปกป้องมิให้หลวงพ่อธัมมชโย ให้หลุดพ้นจากการถูกคุกคาม จากการถูกตั้งข้อกล่าวหาอันมิชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย และผิดไปจากข้อมูลความเป็นจริง ตามคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวหาในคดีพิเศษที่ 27/2559/ดังกล่าว

ทั้งนี้ การออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าวคณะศิษย์หลวงพ่อธัมมชโย ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นเพราะบรรดาศิษย์ทนไม่ได้กับการที่พระธัมมชโยถูกคุกคามอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ขณะนี้กำลังอาพาธป่วยด้วยโรคเบาหวาน ขาซ้ายบวมและดำ เท้ามีสภาพเกือบจะเน่าเปื่อย แต่ท่านยืนหยัดเป็นที่พึ่งของสานุศิษย์ และไม่ให้มีการเคลื่อนไหวตอบโต้ข้อกล่าวหาจากสังคมที่บิดเบือน และไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ครั้งนี้คณะศิษย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ทนเห็นความเจ็บป่วยอาพาธทางกาย และถูกข่มเหงคุกคามทางจิตใจไม่ไหว จึงออกมาเรียกหาความเป็นธรรมดังกล่าว

โดยในการยื่นหนังสือครั้งนี้มี พ.ท.ประยูร อุทยาน เจ้าหน้าที่ส่วนรับเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียน และส่งต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รับเครื่องเพื่อส่งต่อไปดำเนินการต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น