อ.ส.ค.เดินเครื่อง โรงงานแปรรูปนม

b2-w9h7-1โคนมภาคเหนือลุ้น !! อ.ส.ค.เร่งศึกษาความเป็นไปได้การจัดตั้งโรงงานแปรรูปนมที่ จ.ลำปาง กำลังผลิต 150 ตัน/วัน ใช้งบฯ 800-1,000 ล้านบาท มุ่งรองรับน้ำนมดิบเกษตรกรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึงวันละ 450 ตัน ช่วยลดปัญหานมล้นตลาด-ราคาตกต่ำ

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า เนื่องจากปริมาณน้ำนมดิบในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ และพะเยา มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 450 ตัน/วัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 10% ต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตรวมวันละประมาณ 400 ตัน ซึ่งอาจทำให้สหกรณ์โคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมพื้นที่ดังกล่าวประสบปัญหาเรื่องการจำหน่ายผลผลิต และอาจมีปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดเกิดขึ้นในระยะยาว เพราะโรงงานแปรรูปนมของ อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนบน จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงโรงงานของภาคเอกชนจะไม่สามารถรองรับน้ำนมดิบของเกษตรกรได้ทั้งหมด จำเป็นต้องขนส่งน้ำนมดิบส่วนเกินไปจำหน่ายในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง วันละกว่า 100 ตัน ทำให้ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งเพิ่มขึ้น

จากกรณีดังกล่าว อ.ส.ค.จึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์นมภาคเหนือตอนบน ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานแปรรูปนมที่อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง กำลังการผลิตเฉลี่ยวันละ 150 ตัน ใช้งบฯลงทุนประมาณ 800-1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งรองรับปริมาณน้ำนมดิบในเขตพื้นที่ภาคเหนือ เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดและราคาตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งยังช่วยลดต้นทุนให้กับสหกรณ์โคนม ซึ่งส่งผลดีต่อสหกรณ์และเกษตรกรสมาชิกจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระยะยาว

“ขณะนี้คณะอนุกรรมการได้ร่วมกับชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคเหนือตอนบนกำลังเร่งศึกษารูปแบบการจัดตั้งโรงงานแปรรูปนมดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะที่มาของแหล่งเงินทุนที่จะใช้ก่อสร้างโรงงาน และแนวทางการบริหารจัดการโรงงานนมใหม่ รวมทั้งศึกษาข้อมูลปริมาณการผลิตน้ำนมดิบให้ชัดเจน พร้อมคัดเลือกพื้นที่อื่นที่ชุมนุมสหกรณ์เสนอให้พิจารณา คือ พื้นที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน”

ดร.ณรงค์ฤทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับที่มาของแหล่งเงินทุนที่จะใช้ก่อสร้างโรงงานแปรรูปนมนี้อาจใช้รูปแบบการเช่า โดยเปิดให้ภาคเอกชนมาลงทุนก่อสร้างโรงงานและ อ.ส.ค.เช่าดำเนินการ ส่วนแนวทางการบริหารจัดการโรงงานอาจต้องปรับรูปแบบใหม่ โดยจะเปิดโอกาสให้สหกรณ์และเกษตรกรมีส่วนร่วมความเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปด้วย ซึ่งจะมีการแบ่งปันผลกำไรที่ได้คืนให้กับสหกรณ์และเกษตรกร อาจจะเป็นรูปแบบตัวเงินหรือผลตอบแทนอื่น จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการซื้อขายน้ำนมดิบในราคาประกันตามข้อตกลงในเอ็มโอยู (MOU) นอกจากนั้นยังจะเปิดให้ตัวแทนสหกรณ์โคนม และตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโรงงานใหม่ด้วย คาดว่าจะทำให้การบริหารจัดการโรงงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำนมดิบในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่มีความร่วมมือในการดูแลเอาใจใส่การเลี้ยงโคนมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกรมปศุสัตว์ สถาบันการศึกษา และ อ.ส.ค. ประกอบกับสหกรณ์โคนมมีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการและดูแลเอาใจใส่สมาชิกอย่างใกล้ชิด ทำให้ระบบบริหารจัดการฟาร์มของเกษตรกรมีประสิทธิภาพสูงขึ้น”

ร่วมแสดงความคิดเห็น