พ่อเมืองเชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเดินทางเข้าเยี่ยมเข้าเยี่ยม สองพี่น้องชางม้ง ทึ่ถูกกล่าวหาขโมยนาฬิการฝรั่ง

img_0347 พ่อเมืองเชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเดินทางเข้าเยี่ยมเด็กหญิงสองพี่น้องชาวม้ง ดอยปุย ที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยนาฬิกาสาวอังกฤษ พร้อมยืนยันเป็นผู้บริสุทธิ์ จากข้อครหาที่ถูกสื่อต่างประเทศตีแผ่ข่าวสาร ล่าสุดเร่งประสานทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกระทรวงต่างประเทศเพื่อหารือและชี้แจงข้อเท็จจริง ด้านเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ อ้าแขนรับให้กลับไปแต่งชุดประจำเผ่าถ่ายรูปที่ระลึกได้ตามเดิม

จากกรณีสื่อออนไลน์ในประเทศอังกฤษมีการนำเสนอข่าวว่านักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายลงในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่ามาเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วถ่ายภาพกับเด็กผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งสองคนที่แต่งกายชุดประจำเผ่า ต่อมาปรากฏว่านาฬิกาข้อมือได้หายไป โดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กหญิงทั้งสองคนที่ขโมยไป ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ อย่างไรก็ตามต่อมาความจริงเริ่มปรากฏว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยที่นักท่องเที่ยวหานาฬิกาพบแล้ว แต่กลับไม่มีการนำเสนอข่าวความคืบหน้าเพื่อให้เด็กพ้นข้อกล่าวหา

img_0349

ความคืบหน้าช่วงเย็นเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 6 ต.ค.59 นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่บ้านดอยปุย หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่เพื่อตรวจเยี่ยมเด็กหญิงชาวม้งสองพี่น้องและครอบครัว โดยได้กล่าวกับพ่อแม่ของเด็กว่า ขณะนี้ได้มีการยืนยันแล้วว่า เด็กทั้งสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์ พ้นจากข้อกล่าวหา ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อชี้แจงและหารือในเรื่องดังกล่าว และขณะนี้เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า นักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษคนนั้นได้หานาฬิกาที่หายไปพบแล้ว ซึ่งสร้างความดีใจให้กับพ่อแม่ของเด็กทั้งสองเป็นอย่างมาก จากนั้นได้มอบเงินปลอบขวัญเพื่อเป็นการเยียวยาทางด้านจิตใจให้แก่เด็กทั้งสองคนไว้เป็นทุนการศึกษา พร้อมทั้งนำเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจบ้านพักอาศัย ซึ่งพบว่าอยู่กันอย่างแออัด จึงจะได้เสนอเข้าโครงการหมู่บ้านกาชาด เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้แจ้งว่า พระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร อนุญาตให้ เด็กชาวเขากลับไปทำงานหารายได้พิเศษ ด้วยการแต่งชุดชนเผ่าถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวได้เช่นเดิม หลังพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้สร้างความเสียหายแก่นักท่องเที่ยวจริง เพราะกิจกรรมดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว แต่จะต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อจัดระเบียบให้ดีขึ้น เพื่อให้เป็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อการท่องเที่ยวขอจังหวัดเชียงใหม่ต่อไป

img_0348

ขณะที่ทางด้าน นายเมธาพันธ์ เพื่องฟูกิจการ ผู้ใหญ่บ้านดอยปุย หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า จากการประสานงานกับเครือข่ายชาวม้งในต่างประเทศที่มีการกระจายตั้งรกรากอยู่หลายประเทศทั่วโลก ที่สนใจประเด็นที่เกิดขึ้นนี้และช่วยกันสืบค้นหาข้อเท็จจริง รวมทั้งมีการติดต่อไปยังสื่อในประเทศอังกฤษที่นำเสนอข่าวนี้แล้ว ขณะนี้เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่า เรื่องที่นักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษกล่าวหาสองเด็กหญิงชาวม้งดอยปุยไม่เป็นความจริง โดยเพื่อนชายของนักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษคนดังกล่าวได้หานาฬิกาที่หายไปพบแล้ว แต่ไม่ได้มีการนำเสนอข่าวรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าว

ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นนี้และข้อเท็จจริงที่เริ่มปรากฏนั้น ชาวม้งทั้งในประเทศไทยและเครือข่ายชาวม้งที่กระจายตั้งรกรากอยู่หลายประเทศทั่วโลกต่างไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเวลานี้ในส่วนของชาวม้งดอยปุยและพี่น้องชาวม้งในประเทศกำลังอยู่ระหว่างปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย และกำลังรวบรวมข้อมูลเอกสารหลักฐานต่างๆ ในครบถ้วนสมบูรณ์และมีความชัดเจน เพื่อที่จะดำเนินการแสดงท่าทีต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ทั้งการเรียกร้องให้สื่อที่นำเสนอข่าวดังกล่าวนี้และนักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษที่กล่าวหาเด็กหญิงชาวม้งทั้งสองคนแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น รวมทั้งอาจจะมีการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายด้วย

ด้านนายพรชัย จิตรนวเสถียร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ แสดงความเห็นว่า ที่ผ่านมากรณีของการนำเสนอข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเกิดเหตุมาแล้วหลายครั้งที่สังคมตัดสินผิดถูกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งที่เป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีนี้ที่เรื่องที่เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจเด็กเป็นอย่างมากจากการที่มีการนำเสนอข่าวออกไปทางสื่อต่างๆ ทั้งนี้สิ่งที่ควรจะมีการเร่งดำเนินการในเวลานี้ก็คือการที่ภาครัฐควรจะเร่งเข้าไปเยียวยาสภาพจิตใจเด็กและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบข้าง เพื่อไม่ให้เกิดเป็นตราบาปของเด็กตลอดไป

img_0350

 

ร่วมแสดงความคิดเห็น