สธ.ชม.เตรียมป้องกันไข้หวัดใหญ่ช่วงปลายฝนต้นหนาว

p1

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ห่วงใยประชาชนเจ็บป่วยโรคไข้หวัดใหญ่และปอดบวม ช่วงอากาศเปลี่ยนปลายฝนต้นหนาว กำชับให้สาธารณสุขอำเภอทุกอำเภอ เร่งให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพ เฝ้าระวังในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หากไข้ไม่ลดลงภายใน 2 วันขอให้พบแพทย์

ร้อยเอกภูรีวรรธน์ โชคเกิด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว สภาพอากาศเริ่มเย็นและบางพื้นที่ยังมีฝนตกอยู่ ทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วย 2 โรคที่พบบ่อยได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โดยข้อมูลจากการเฝ้าระวังและการวิเคราะห์ทางระบาดวิทยาของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม – 6 ตุลาคม 2559 จังหวัดเชียงใหม่พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สะสม 7,634 คน ยังไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบป่วยมากที่สุดคือเด็กเล็กอายุ 0 – 4 ปีอายุ 5-9 ปี และ 10-14 ปี รวมถึงโรคปอดบวม พบผู้ป่วยโรคปอดบวมสะสม 7,642 คน กลุ่มอายุที่พบป่วยมากที่สุดคือเด็กเล็กอายุ 0 -4 ปีอายุ 65 ปีขึ้นไป และ อายุ 55-64 ปี ซึ่งโรคปอดบวมมักเกิดแทรกซ้อนตามหลังโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำเช่น ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ไตวาย เป็นต้น
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสมีหลายสายพันธุ์ เชื้อจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอหรือจาม หรือเชื้อติดมากับมืออาการของโรคมักจะเกิดขึ้นด้วยอาการมีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอ ประมาณ 2–4 วัน แล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้น หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ขอให้ผู้ป่วยพักผ่อน หยุดเรียน หยุดทำงาน สวมหน้ากากอนามัย หากไข้ไม่ลดลงภายใน 2 วัน เสี่ยงมีอาการแทรกซ้อน ขอให้พบแพทย์ สำหรับกลุ่มเสี่ยงหากป่วยมีอาการไข้ไอเจ็บคอน้ำมูก ขอให้พบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวมได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ประชาชนดูแลร่างกายให้แข็งแรง รักษาร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่คลุกคลีหรือสัมผัสกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงไปในสถานที่คนแออัดหรือมีอากาศเย็นจัด รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางและหมั่นล้างมือบ่อยๆ หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาหรือขอคำแนะนำได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

ร่วมแสดงความคิดเห็น