สั่งคุมเข้มอาหารในโรงเรียน หวั่นเด็กท้องเสียจากไวรัสโนโร

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.59 นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวเด็กนักเรียนจากโรงเรียนในหลายพื้นที่ ป่วยด้วยอาการท้องเสียจากไวรัสโนโร นั้น กรมควบคุมโรคขอให้ข้อมูลว่า ไวรัสโนโร (Norovirus) เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ หรืออาการท้องเสียได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่ส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มเด็ก เช่น นักเรียนอนุบาล ประถม และมัธยม โดยไวรัสชนิดนี้ไม่ใช่เชื้อไวรัสชนิดใหม่ เป็นเชื้อดั้งเดิมที่รู้จักกันมานานมากกว่า 40 ปี แต่เดิมไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในประเทศไทย เนื่องจากในอดีตไม่ค่อยพบการระบาดในคนหมู่มาก และการตรวจเชื้อเป็นไปด้วยความยุ่งยาก แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการวินิจฉัยที่ก้าวหน้าขึ้นจึงตรวจพบเชื้อไวรัสโนโรได้มากขึ้น

สำหรับโรคอาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมีเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอยู่หลายชนิด เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือการปนเปื้อนสารพิษต่างๆ เป็นต้น แต่สาเหตุของอาหารเป็นพิษที่พบได้บ่อยครั้งคือ จากเชื้อแบคทีเรีย รองลงมาคือ ไวรัส นอกนั้นพบได้บ้างประปราย จากข้อมูลรายงานการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 6 ธันวาคม 2559 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ 121,973 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ขอนแก่น บุรีรัมย์ อํานาจเจริญ อุบลราชธานี และปราจีนบุรี

นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อไปว่า ไวรัสโนโรในประเทศไทยสามารถพบได้ตลอดปีแต่จะพบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาวจนถึงฤดูหนาว ติดต่อจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อ หรือสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วย เชื้อไวรัสนี้มีความคงทนในสิ่งแวดล้อมมาก หากผู้ป่วยเข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้ล้างมือหรือล้างไม่สะอาด แล้วไปจับลูกบิด ประตู หรือก๊อกน้ำ เชื้อโรคก็ยังอยู่ สำหรับสารเคมีที่ใช้ในการฆ่าเชื้อได้คือ ฟอร์มาลีน กลูตารอลดีไฮด์ และสารประกอบจำพวกคลอรีน เป็นต้น ไวรัสโนโรนั้นมีระยะฟักตัวสั้น 12-48 ชั่วโมง และติดต่อได้ง่าย ถึงแม้มีเชื้อปริมาณน้อยก็ทำให้เกิดอาการได้ และมักมีอาการปรากฏอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่มักทำให้มีอาการอาเจียน ไข้ไม่สูงมาก อ่อนเพลีย ปวดท้องและท้องเสีย โดยอาการจะปรากฏประมาณ 2-3 วัน บางรายสามารถหายได้เอง แต่ในรายอาจมีอาการขาดน้ำ ต้องให้น้ำเกลือหรือนอนโรงพยาบาล

ทั้งนี้ สาเหตุของอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่พบว่า เกิดจากการที่คนจำนวนมากรับประทานอาหารร่วมกัน เช่น ในโรงเรียน หรือสถานเลี้ยงเด็ก จึงขอแนะนำมาตรการป้องกันควบคุมโรคอาหารเป็นพิษ เพื่อเฝ้าระวังโรคอาหารเป็นพิษที่เกิดในโรงเรียน ดังนี้

1.จัดระบบโรงอาหารในโรงเรียน ให้ผู้ประกอบการดำเนินตามมาตรฐานการสุขาภิบาลอาหาร 2.มีการตรวจรับนมที่มีคุณภาพและตรวจสอบความปลอดภัยของนมก่อน และเก็บรักษาอย่างถูกวิธี 3.อาหารบริจาค อาหารที่มาในรูปแบบของอาหารกระป๋องหรืออาหารที่ปรุงสำเร็จแล้ว ควรตรวจสอบคุณภาพก่อนที่จะนำไปรับประทาน 4.อาหารในกรณีนักเรียนเข้าค่ายหรือทัศนศึกษา ควรเลือกจากร้านอาหารที่สะอาดตามเกณฑ์มาตรฐาน อาหารที่ใส่กล่องไม่ควรราดบนข้าวโดยตรง ควรแยกบรรจุกับข้าวในถุงพลาสติกต่างหาก และ 5.การดูแลรักษาเบื้องต้น ประสานส่งต่อ และการสื่อสารความเสี่ยงเมื่อพบนักเรียนป่วยหรือเกิดเหตุการณ์ระบาดในโรงเรียน โดยกรมควบคุมโรคได้ดำเนินงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้ความรู้แก่ครูในโรงเรียนเกี่ยวกับการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ

“อาหารที่มักก่อให้การติดเชื้อไวรัสโนโรได้บ่อย ได้แก่ น้ำ/น้ำแข็ง ที่ปนเปื้อนเชื้อ และอาหารประเภทหอย โดยผู้ที่ติดเชื้อแล้วจะแพร่เชื้อต่อไป ได้อีกประมาณสามวัน ด้านการดูแลผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษเบื้องต้น ให้ดื่มน้ำละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) เพื่อป้องกันการขาดน้ำ อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น ยังถ่ายบ่อย หรืออุจจาระเป็นมูกปนเลือด ขอให้รีบพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน โดยโรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกันโรค แต่การดูแลความสะอาด ใส่ใจอนามัยส่วนบุคคล กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ จะช่วยลดปัญหาการติดเชื้อนี้ได้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” นายแพทย์เจษฎา กล่าวปิดท้าย

ร่วมแสดงความคิดเห็น