รพ.ลานนา หยุด “ไข้เลือดออก”

โรงพยาบาลลานนา นำร่องเปิดตัววัคซีนป้องกันไข้เลือดออก มาให้บริการแก่ชาวเชียงใหม่ และใกล้เคียงแล้ว โดย นพ.ดุสิต ศรีสกุล ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลลานนา เปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวพิเศษว่า “จากปัญหาของโรคไข้เลือดออกที่มีการระบาดในทุกๆ ปี และมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาด้วยโรคนี้จำนวนมาก ซึ่งทางโรงพยาบาลลานนา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโรคนี้ ที่ผู้ป่วยจะต้องเสียทั้งเวลาในการรักษา และค่าใช้จ่าย ซึ่งนอกเหนือจากที่เราได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้การป้องกันไข้เลือดออกในสื่อต่างๆ แล้ว ในขณะนี้เราได้นำวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกมาให้บริการแก่ชาวเชียงใหม่ และภาคเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นวิวัฒนาการทางการแพทย์ล่าสุดในการป้องกันโรคไข้เลือดออกในปัจจุบัน นอกเหนือจากการป้องกันโรคไข้เลือดออกแล้ว ทางโรงพยาบาลลานนา ยังสามารถตรวจวินิจฉัย โรคไข้เลือดออกได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีทางการตรวจในห้องปฏิบัติการด้วยเทคโนโลยี PCR ซึ่งเป็นการตรวจวินิจฉัยที่ตรวจลึกถึง DNA ทำให้แพทย์ตรวจพบได้รวดเร็วซึ่งจะเป็นผลให้รักษาผู้ป่วยได้รวดเร็วเช่นกัน”

เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกเดงกี่มีอยู่ 4 สายพันธุ์ ซึ่งการกระจายของเชื้อไวรัสทั้ง 4 สายพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาต่างๆ อย่างไม่สามารถทำนายได้ จึงเป็นการยากลำบากในการป้องกันให้ได้ครบ แต่ “วัคซีนไข้เลือดออก” นี้ ผลิตจากไวรัสที่มีชีวิตและถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลง หรือเรียกว่า วัคซีนเชื้อเป็น (live vaccine) เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อโรคไข้เลือดออก ซึ่งจะประกอบด้วย DENV 1,2,3,4 มารวมกันให้อยู่ในเข็มเดียวกัน ถือเป็นนวัตกรรมที่ถูกคิดค้นจากความร่วมมือของหลายประเทศ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคถึง 65 % เลยทีเดียว”

ใครบ้างที่ควรฉีด และไม่ควรฉีด ?วัคซีนดังกล่าวเหมาะกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 9-45 ปี อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีการแพร่ระบาดของโรค วัคซีนชนิดนี้จะฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน ส่วนกลุ่มผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รับประทานยากดภูมิ กำลังได้รับยาเคมีบำบัด มีเชื้อเอชไอวี หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่กำลังให้นมบุตร ไม่ควรรับวัคซีนตัวนี้
ฉีดวัคซีนแล้ว จะเป็นอย่างไรบ้าง ?ผลข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีนไปแล้วบางคนอาจมีอาการปวดศีรษะและมีไข้ บางคนอาจมีอาการวิงเวียน ไอ เจ็บคอ มีผื่นคัน ถ้ารุนแรงกว่านั้น คือ มีผลต่อระบบประสาทนี่เรียกว่าน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ควรจะสังเกตตนเองหรือคนใกล้ชิดว่า เสี่ยงกับโรคไข้เลือดออกหรือไม่ ทั้งไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวและปวดลึกไปถึงกระดูกเหมือนกระดูกจะแตกไม่มีอาการไอ ไม่มีนํ้ามูกเหมือนไข้หวัด อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ถ้าเริ่มมีอาการลักษณะนี้ให้สงสัยไว้ก่อนว่า เสี่ยงเป็นไข้เลือดออก

ร่วมแสดงความคิดเห็น