แพร่สูญเสียอดีตส.ส.พ่อเลี้ยงเมธา พ่ออดีตส.ส.วรวัจน์ –ปานหทัย ด้วยโรคชรา 89 ปี

เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 21 มกราคม 2560 ที่โรงพยาบาลแพร่ได้มีครอบครัวของ นายเมธา เอื้ออภิญญกุล อายุ 89 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58/1 หมู่ที่ ต.ทุ่งกวาว อ.เมือง จ.แพร่ ได้เดินทางไปรับศพนายเมธาฯ มีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีต ส.ส.หลายสมัยและอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง นางปานหทัย เสรีรัก อดีต ส.ส. นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ และญาติๆ ได้มารับศพนายเมธาฯ

นายวรวัจน์ฯ ลูกชายเผยว่า หลังจากที่คุณพ่อป่วยด้วยโรคชราเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา ก็ได้นำคุณพ่อเข้ารักษาอีกครั้งที่โรงพยาบาลแพร่ จนกระทั่งเวลา 15.45 น.วันนี้ ที่ 21 มกราคม 60 ได้รับแจ้งทางโรงพยาบาลว่าคุณพ่อได้เสียชีวิตลงด้วยอาการสงบ จึงได้มารับศพกลับบ้านเพื่อบำเพ็ญกุศลตามประเพณี โดยวันพรุ่งนี้ที่ 22 มกราคม 2560 จะมีพิธีรดน้ำศพที่บ้านเวลา 14.00 น.

ดรเมธา เอื้ออภิญญกุล หรือ พ่อเลี้ยงเมธา เจ้าของโรงบ่มทุ่งกวาว ผู้ที่คร่ำหวอดกับธุรกิจใบยาสูบรายใหญ่ในภาคเหนือ เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณ พ่อเลี้ยงศานิต ศุภศิริ ทำทั้งธุรกิจและอยู่บนเวทีการเมืองมาด้วยกันตลอดแม้ว่าบางครั้งอาจจะขุ่นเคืองกันบ้าง ถือว่าเป็นปรกติธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง ครอบงำอยู่ ดร.เมธาฯเกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2470  ปัจจุบันอายุ 89 ปี เป็นบุตรคนที่ 4ของคุณพ่อสมบูรณ์ คุณแม่บุญธรรม เอื้ออภิญญกุล เกิดที่บ้านเด่นชัย ต.เด่นชัย อ.สูงเม่น จ.แพร่ (ยุคที่พ่อเลี้ยงเมธาฯ เกิดเด่นชัย ยังขึ้นกับอ.สูงเม่น อยู่ ต่อมามีการแยกตั้งเป็นอำเภอ) สมรสกับ คุณธีรวัลย์ กันทาธรรม หรือแม่เลี้ยงธีรวัลย์ ที่คนเมืองแพร่รู้จักกันเป็นอย่างดี มีบุตรด้วยกัน 4 คน บุตรชายคนแรกคือ คุณเมธี เอื้ออภิญญกุล บุตรคนที่ 2 คือ คุณปานหทัย เสรีรักษ์(ภรรยา น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ ส.ส แพร่) บุตรคนที่ 3 คุณองอาจ เอื้ออภิญญกุล บุตรคนที่ 4 หรือลูกคนสุดท้อง คือ คุณวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล ส.ส.แพร่ (พรรคไทยรักไทย) ดร.เมธาฯจบการศึกษาประถมศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลเด่นชัย จบ.2 จากร.รเจริญราษฎร์ จบ ม.3 ที่โรงเรียนปรินส์รอย จังหวัดเชียงใหม่ จบ ม.4 ที่โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จังหวัดน่าน เรียนต่อที่โรงเรียนจีนหวังเหวินในกรุงเทพฯ จากนั้นก็เรียนต่อภาษาจีน จนกระทั่งจบม.8 ซึ่งการเรียนไม่ได้เรียนอย่างสะดวกสบายเช่นปัจจุบัน เพราะว่าในขณะนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องหลบๆซ่อนๆในการเรียนภาษาจีน ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาบริหารธุรกิจจากเกษตร จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2528 หลังจากสำเร็จการศึกษาจึงกลับบ้านเกิดที่แพร่ประมาณปี 2496 โดยในตอนนั้นมีเพื่อนชวนมาเปิดธนาคารที่จังหวัดแพร่ คือ คุณแกรน ประชาศรัยสรเดชซึ่งคุณแกรนฯ มีภรรยาเป็นหลานสาวของเจ้าหลวงเมืองแพร่ ธนาคารที่ดึงมาตั้งแต่ครั้งแรก ธนาคารกสิกรไทย เอเย่นต์จังหวัดแพร่ โดยเริ่มแรกทำหน้าที่เป็นเสมียนธนาคาร จนเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาเด่นชัยถึง 6 ปี จนกระทั่งได้แต่งงานกับคุณธีรวัลย์ฯ กันทาธรรม ซึ่งเป็นลูกสาวของนักธุรกิจยาสูบโดยตั้ง ห.จ.ก.ทุ่งกวาว-บ้านถิ่น ขึ้นมาเพื่อรับซื้อยาสูบ หลังจากทำธุรกิจใบยาสูบมาพักใหญ่ ทำให้มองเห็นปัญหาการอมบ่มใบยา เนื่องจากต้องใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง จึงมักจะถูกตราหน้าว่าเป็นตัวการตัดไม้ทำลายป่า จึงพยายามหาเชื้อเพลิงตัวอื่นมาทดแทนครั้นจะเอาแก๊สมาบ่มก็สู่ไม่ไหว เพราะราคาแพงมากน้ำมันก๊าซ ก็แพงอีกแถมยังอันตรายอีกด้วย ต่อมาเจอถ่านหินลิกไนต์แทน แต่ราคาก็แพงกว่าการใช้ฟืนอยู่ดี ในที่สุดก็กัดฟันลงทุนทำเอง ใช้เอง ซึ้งระยะที่ทำแรกๆต้องล้มลุกคลุกคลาน ตอนนั้นเป็นหนี้ธนาคารเกือบจะอยู่ไม่ได้ เพราะประสบกับความขาดทุน ตอนนี้เรียกว่าแทบกระอักเลือด แต่ทว่าโชคยังเข้าข้างเมื่อลูกชายคือคุณเมธี-องอาจฯ เรียนจบมาพอดี จึงเห็นว่าหากพ่อทำธุรกิจแบบนี้มีหวังเจ๊งแน่ๆ จึงชวน คุณชนินท์ ว่องกุศลกิจ เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนที่อยู่อเมริกามาร่วมทุนด้วย ทำกันตามหลักวิชาการจนทำให้เติบใหญ่เป็น บริษัทิ บ้านปู จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วกว่าหลายพันล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งขยายการลงทุนไปยังประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ซึ่งสามารถนำเงินตราเข้าสู่ประเทศได้ปีละหลายพันล้านบาท ปี 2518 เข้าสู่เส้นทางการเมือง จากการทาบทามของ พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ โดยลงสมัคร ส.ส.ในนามของ พรรคธรรมสังคม ซึ่ง เสธ.ทวีฯได้ดึงเอา คุณนคร ตันจันทร์พงศ์ คหบดีของเด่นชัยพ่วงเข้าสมัครด้วย ครั้งนั้น ดร.เมธาฯ สอบผ่านเพียงคนเดียว เมื่อเข้าไปเป็น ส.ส.ในรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจอาเซียน ดูแลความสัมพันธ์ประเทศในกลุ่ม มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และจีน และนอกจากนี้ทุกครั้งที่ได้เข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรหรือ ส.ส. เมืองแพร่ ได้รับเกียรอย่างสูงส่งให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีอยู่อย่างต่อเนื่อง “เมื่อครั้งผม เป็น ส.ส. ได้ดึงงบประมาณมาสร้างอ่างเก็บน้ำมากมายหลายแห่ง ในเขต อ.เมืองแพร่ อ.ร้องกวาง ที่ชัดๆ จะๆ คืออ่างเก็บน้ำแม่ถาง ตอนนั้นผมไปกับ คุณวรงค์ วงศ์วรกุลเข้าไปขอจากนายกรัฐมนตรี โครงการก่อสร้างทางรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ซึ่งมีการต่อสู้กันมา 29 ปีแล้ว ตอนนี้กำลังสำรวจจุดตั้งสถานีกันอยู่ซึ่งทางรถไฟสายนี้จะเลาะฝั่งยม (เลาะปง) อีกโครงการที่ผมได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่คือโครงการเขื่อนแก่งเสื้อเต้น ขณะนี้ทราบว่ามีแนวโน้มในการสร้างสูงมาก อ้อ..อีกโครงการที่ผมสามารถดึงงบประมาณมาทำให้กับคนเมืองแพร่เพื่อพัฒนาอาชีพเกษตรกร ก็คือ โครงการสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้า” ดร.เมธาฯ กล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมากับถนนการเมืองที่ได้ทำเพื่อคนเมืองแพร่อย่างสุดใจขาดดิ้น จนกระทั่งปี 2535 จึงวางมือทางการเมือง แต่การวางมือ ทางการเมืองของ ดร.เมธาฯ นั้นได้มอบหมายภารกิจรับใช้พี่น้องชาวเมืองแพร่ ให้กับคุณวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ทายาทคนสุดท้องทำหน้าที่แทนอีกทั้งยังมี น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ ลูกเขยร่วมด้วยอีกแรงหนึ่ง ขณะเดียวกัน ดร.เมธาฯ ได้ใช้ความสามารถความสนิทสนมคุ้นเคยกับ หลายคนในพรรค รัฐบาลทุกยุค ทุกสมัย ดึงเอางบประมาณ มาพัฒนา ตั้งแต่ภาคกลางตอนล่าง จนถึงภาคเหนือตอนบน อย่างโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องทางจราจร นครสวรรค์ – พิษณุโลก และพิษณุโลก – อุตรดิตถ์ รวมถึงเด่นชัย – ร้องกวาง พร้อมทั้งเส้นทางเมืองงาว พะเยา เชียงราย ไปจนถึงแม่สาย เชียงแสน ดูเหมือนว่าจะเป็นงบประมาณ เกือบ 2 หมื่นล้านบาทเศษ อดีต ดร.เมธาฯ เป็นนายกสมาคมพาณิชย์จังหวัดแพร่ (หอการค้าแพร่ในปัจจุบัน) เป็นประธานมูลนิธิร่วมใจจังหวัดแพร่ ประธานศาลเจ้าปุ่งเถ้ากงแพร่ ประธานสุสานจีน ประธาน ร.รเจริญศิลป์ ซึ่งในแต่ละตำแหน่ง ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกให้ทำหน้าที่นับ 20 ปี “ผมอยากจะเห็นพี่น้องคนเมืองแพร่ รักใคร่สามัคคี ปรองดอง เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งตรงนี้เองจะสามารถเป็นพลังในการต่อรองอะไรได้หลายๆ อย่างคุณภาพชีวิตของของคนแพร่ ทุกคนจงสมัครสมานสามัคคีกันเถอะครับ”

เป็น ส.ส.ครั้งแรก- การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 จำนวน ส.ส.ทั้งประเทศ ที่ต้องการคือ 269 คน(เต็มสภาฯ) จังหวัดแพร่เลือก ส.ส.ได้ 3 คน คือ คุณหญิงบัวเขียว รังคสิริ นายเมธา เอื้ออภิญญกุล (ตอนนั้นยังไม่ได้ ด็อกเตอร์) และ จ.ส.อ.สมชาย อินทราวุธ หลังจากเป็น ส.ส.เมื่อปี 2518 แล้วก็ว่างเว้นไปหลายปี เป็น ส.ส.ครั้งที่สอง-ต่อมาได้หวนมานั่งเก้าอี้ ส.ส.แพร่ เมื่อปี พ.ศ.2535 เป็น ส.ส.สมัยที่ 3 และ4 ในปีเดียวกัน เมื่อปี พ.ศ.2538 ส.ส.เมธาฯได้เสนอของบประมาณจาก “กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม”มาก่อสร้างโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าให้แก่ชาวแพร่ หลายแห่ง ทำให้ชาวนาชาวสวนที่มีแม่น้ำไหลผ่านหน้าชื่นตาบานกันถ้วนหน้า

ร่วมแสดงความคิดเห็น