ตั้งเป้าดูด นักเที่ยว ย่านอาเซียน

“ททท.” นำทัพผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเทรดโชว์เวทีท่องเที่ยวอาเซียน “ATF 2017” ที่สิงคโปร์ บูมตลาดนักท่องเที่ยวอาเซียนเข้าไทยปีนี้ 9.2 ล้านคน โกยรายได้เฉียด 3 หมื่นล้านบาท พร้อมโปรโมต “เชียงใหม่” ในฐานะเจ้าภาพปีหน้า “รมว.กอบกาญจน์” สั่งศึกษารูปแบบใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้เข้าร่วมงานการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน หรืออาเซียน ทัวริซึ่ม ฟอรั่ม (ATF 2017) โดยในปีนี้ ประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพครั้งที่ 36 เมื่อวันที่ 16-20 มกราคมที่ผ่านมา ณ แซนด์ส เอ็กซ์โป แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์, มาริน่า เบย์ แซนด์ส ภายใต้แนวคิด “Shaping Our Tourism Journey Together”งานนี้มีผู้ประกอบการไทยที่ ททท.นำมาร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย Travel Exchange (Travex) 14 ราย จากจำนวนผู้ประกอบการไทยที่เข้าร่วมทั้งหมด 82 ราย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขนผู้ประกอบการท่องเที่ยวร่วมงานเทรดโชว์ในเวทีท่องเที่ยวอาเซียน หรือ ATF 2017 ณ ประเทศสิงคโปร์ งานนี้มีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมถึง 14 ราย

สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวอาเซียนในอีก 9 ประเทศสมาชิกถือว่าสำคัญมาก ปีที่แล้วมียอดนักท่องเที่ยวมาไทยรวมกันมากถึง 8.6 ล้านคน น้อยกว่าตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามามากกว่า 8.8 ล้านคน เพียง 2 แสนคนเท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางซ้ำ และนิยมเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง แต่ปัญหาคือนักท่องเที่ยวอาเซียนมาบ่อยครั้ง แต่ยังใช้จ่ายไม่สูง เนื่องจากไทยเป็นจุดหมายด้านการท่องเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ (วีกเอนด์ เดสติเนชั่น) โดยปัจจุบันตลาดอาเซียนพำนักในไทยเฉลี่ย 5 วัน ใช้จ่าย 5,244 บาทต่อคนต่อวัน หรือ 29,580 บาทต่อทริป

“ททท.มองว่าตลาดนักท่องเที่ยวอาเซียนไม่มีปัญหาด้านจำนวน แต่ทำอย่างไรให้สามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อคนได้ จึงต้องสร้างกระแสให้นักท่องเที่ยวอาเซียนเดินทางมาไทยบ่อย ๆ อาศัยเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์ แอร์ไลน์) ที่บินตรงเข้าเมืองรองในไทยมากขึ้น พร้อมเฟ้นหาสินค้าท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ตรงความต้องการ เช่น การนำเสนอร้านอาหารเก๋ ๆ แปลกใหม่ และพื้นที่ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบคนท้องถิ่น จะขายของเดิม ๆ ไม่ได้”

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดสำหรับภูมิภาคอาเซียนนั้นจะมุ่งเน้นสู่ตลาดนักท่องเที่ยวพักผ่อนทั่วไป (เลเชอร์) ระดับไฮเอนด์ เช่น ตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (เมดิคอล) และการศึกษาในกลุ่มนักท่องเที่ยวเมียนมาและกัมพูชา พร้อมดำเนินตามนโยบาย “ทู คันทรีส์ วัน เดสติเนชั่น” ของนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เน้นการเดินทางและเข้าถึงอย่างสะดวก รองรับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยง

นอกจากนี้ในงานเอทีเอฟ ที่สิงคโปร์ ททท.ยังได้สร้างการรับรู้ให้กับเชียงใหม่ ในฐานะเจ้าภาพการจัดงานเอทีเอฟ 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 มกราคม 2561 ภายใต้แนวคิด “Sustainable Connectivity Boundless Prosperity” เนื่องจากเชียงใหม่มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคทั้งจุดประชุมสัมมนาและห้องพัก และยังตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สามารถเดินทางเชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน

โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินจากสิงคโปร์กับมาเลเซียแล้ว และกำลังจะมีเที่ยวบินใหม่จากจาการ์ตา อินโดนีเซีย และมะนิลา ฟิลิปปินส์ในเร็ว ๆ นี้ เสริมทัพเที่ยวบินจากเอเชียตะวันออกที่เปิดให้บริการบินตรงสู่เชียงใหม่อยู่แล้ว อาทิ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯได้เลือกศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา เป็นสถานที่หลักในการจัดงาน

ด้านนางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเสริมว่า หลังจากเข้าร่วมงานเอทีเอฟแล้ว ในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ททท.เตรียมจัดงานพบปะเจรจาธุรกิจ “เอ็กซ์พีเรียนส์ ไทยแลนด์ แอนด์ มอร์” นำผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวทั่วโลกพบกับบริษัทนำเที่ยวของไทยที่เชี่ยวชาญและเน้นการขายเส้นทางเชื่อมโยงในอาเซียนเพื่อให้ภาพของธุรกิจท่องเที่ยวเชื่อมโยงชัดเจนและลงลึกมากยิ่งขึ้นสนับสนุนบทบาทของไทยสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวในตลาดอาเซียน

“ททท.ตั้งเป้าหมายตลาดนักท่องเที่ยวอาเซียนมาไทยปี2560ไว้ที่จำนวน9.2 ล้านคน เติบโต 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนรายได้ตั้งเป้าที่ 2.9 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% อย่างไรก็ตาม มองว่าสิ่งที่การท่องเที่ยวเชื่อมโยงภายในอาเซียนยังขาด คือการพัฒนาเรื่องการเข้าถึง เช่น การเดินทางเข้าออกผ่านชายแดนที่ยังมีอุปสรรคอยู่ หากแก้ไขตรงนี้ให้เดินทางได้สะดวกและลื่นไหล เชื่อว่าการท่องเที่ยวภายใน 10 ประเทศอาเซียนรุ่งโรจน์แน่นอน”

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า หลังจากหารือร่วมกับผู้บริหารโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังอย่าง “เฟซบุ๊ก” และ “อินสตาแกรม” มีนายจอห์น วาคเนอร์ กรรมการผู้จัดการ และนายเคนเนธ บิช็อป ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเด็นที่หารือร่วมกันคือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว หลังเฟซบุ๊กระบุว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 3 ของเหตุผลที่คนใช้เฟซบุ๊ก จึงได้มอบหมายให้ ททท.หารือกับเฟซบุ๊กในรายละเอียดต่อไป

ผู้ว่าการ ททท.กล่าวเสริมว่า ช่องทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ และเฟซบุ๊ก เรดิโอ ที่กำลังเตรียมเปิดตัวคือช่องทางที่น่าสนใจในการนำมาส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ในปัจจุบันที่มุ่งสู่การถ่ายทอดและรับรู้เรื่องราวโดยตรงผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้นหากมีการร่วมมือกันอย่างเป็นทางการเชื่อว่าไทยจะริเริ่มการใช้ทั้งเฟซบุ๊กไลฟ์ และเฟซบุ๊ก เรดิโอ อย่างเต็มรูปแบบ โดยวางเป้าหมายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศที่มีฐานผู้ใช้งานเฟซบุ๊กสูง

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ส่วนงานวิจัยฝ่ายนโยบายและแผนของททท.ศึกษาเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการท่องเที่ยว และมองหาโอกาสในการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมตลาด รวมถึงช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น