เตือนเข้าสู่ฤดูร้อนกินอาหารให้สะอาด ป้องกันโรคร้าย

กรมควบคุมโรค แนะประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวที่นิยมรับประทานอาหารตามสถานที่ต่างๆ ให้ยึดหลักรับประทานสุก ร้อน สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ซึ่งติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ชี้หากมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง เจ็บชายโครง ปัสสาวะสีเข้ม ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว

นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ระยะนี้เป็นช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งจะเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด ประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไปที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จึงอาจเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ที่มีแนวโน้มมีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น

จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สำนักระบาดวิทยา รายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 13 กุมภาพันธ์ 2560 พบผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ 94 ราย ยังไม่มีการรายงานพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แต่พบจังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้แก่ กรุงเทพมหานคร 27 ราย สมุทรสงคราม 18 ราย และชลบุรี 7 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ 35 – 44 ปี (27.66%) 25 – 34 ปี (24.47%) และ 45 – 54 ปี (17.02%) จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ผู้ป่วยเป็นวัยทำงาน ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำนอกบ้าน ส่วนจังหวัดที่เสี่ยงต่อการระบาดคือ จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีตลาดท่องเที่ยวจำนวนมาก จึงอาจทำให้เกิดโรคในกลุ่มนักท่องเที่ยวได้

นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อไปว่า องค์การอนามัยโลกได้คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีจำนวนผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ประมาณ 1.4 ล้านคนต่อปี โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา เนื่องจากระบบสาธารณสุข ระบบสุขาภิบาลที่ไม่ดี เช่น น้ำดื่ม น้ำใช้ ที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือการการรั่วไหลและปนเปื้อนของระบบส่งน้ำ รวมถึงการปรุงประกอบอาหารที่ไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ จะตายเมื่อโดนความร้อน ด้วยการต้มหรือหุงที่อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 1 นาที

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ สามารถติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อที่ขับถ่ายจากผู้ป่วย หรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเชื้อจะเจริญเติบโตในตับและจะถูกขับออกทางน้ำดีและอุจจาระ มักจะระบาดในชุมชนที่อยู่กันหนาแน่นและไม่ถูกสุขลักษณะ แต่เชื้อนี้ไม่ติดต่อทางน้ำลายหรือปัสสาวะ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ เอ มักมีอาการประมาณ 2 สัปดาห์หรืออาจนานถึง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยติดเชื้อนี้จะมีภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดชีวิตและจะไม่เป็นโรคนี้อีก สำหรับกลุ่มเสี่ยงโรคไวรัสตับอักเสบ เอ คือ คนทำงานในสถานพยาบาล ร้านอาหาร ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังประเทศที่พบผู้ป่วย ช่างประปา คนทำงานเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูล เป็นต้น

การป้องกันโรค ขอให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ และรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน รวมถึงฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ เอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง และหากมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง เจ็บชายโครง ปัสสาวะสีเข้ม ให้รีบไปพบแพทย์ ทั้งนี้ การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ยังไม่มียารักษาเฉพาะ วิธีดูแลรักษาผู้ป่วยที่ดีที่สุดคือให้พักอยู่บ้าน ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ รับประทานอาหารอ่อนมื้อละน้อยๆแต่ให้บ่อยขึ้น รับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น ไม่ซื้อยาเอง และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง

“กรมควบคุมโรค ดำเนินการเฝ้าระวังโรคอย่างต่อเนื่อง โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจดูแลแหล่งผลิตน้ำดื่มและน้ำแข็งให้ได้มาตรฐาน เตรียมพร้อมทีมสอบสวนโรคทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงเพื่อเฝ้าระวังกลุ่มอาการไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง หากพบผู้ป่วยให้ส่งไปรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่โรงพยาบาล รวมถึงเฝ้าระวังผู้ป่วยทั้งในสถานบริการภาครัฐและเอกชนเพื่อติดตามสถานการณ์ของโรคอย่างใกล้ชิด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422” นายแพทย์เจษฎา กล่าวปิดท้าย

ร่วมแสดงความคิดเห็น