แอ่วเมืองเชียงใหม่ ตามเส้นทางประวัติศาสตร์บนถนนท่าแพ

เส้นทางนี้เริ่มที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจและสังคมเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2464 กล่าวคือ เมื่อทางรถไฟมาถึงในสมัยเป็นมณฑลพายัพทำให้เกิด สถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่และแบบอาคารพาณิชย์ของชาวจีน ซึ่งมาพร้อมกับวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ที่ขนมาทางรถไฟสองฟากถนนเจริญเมือง จะพบอาคารพาณิชย์แบบสมัยเก่าปนกับใหม่บนถนนท่าแพที่มีความสวยงามสลับกับวัดวาอารามศิลปะแบบต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวรำลึกถึงความรุ่งเรืองของย่านการค้าแห่งนี้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวควรลงรถที่ สถานีรถไฟเชียงใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่นี่ โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที โดยการเดินเท้า ใช้บริการรถรับจ้าง หรือจักรยานให้เช่า และขึ้นรถที่รอมารับกลับที่ข่วงประตูท่าแพ ในช่วงถนนท่าแพ เป็นย่านการค้าและท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าและอาหารพื้นเมืองได้ บริเวณข่วงประตูท่าแพ จะมีกิจกรรมของเมืองอยู่เป็นประจำ

สถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ อาคารหลังปัจจุบันสร้างหลังจากที่อาคารหลังเดิมถูกระเบิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ

ย่านสันป่าข่อย ย่านการค้าถนนเจริญเมือง ตามตรอกและซอยในย่านนี้ จะพบอาคารพาณิชย์ไม้และคอนกรีตชั้นเดียวและสองชั้น สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2465-2500 ในยุคการค้าทางรถไฟ มีสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ Streamline Modern แบบจีนผสมปะปนกัน รวมถึงอาคารประเภทโรงสีข้าว สร้างด้วยโครงสร้างไม้ มุงสังกะสีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวแทนของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เข้ามาในสมัยนั้น

วัดสันป่าข่อย สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.2424 เดิมวัดนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่นํ้าปิง ด้านทิศตะวันออกและเรียกว่า วัดนางเหลียว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยใดแต่บริเวณที่ตั้งวัดนั้นถูกนํ้าท่วมจึงได้ย้ายมาตั้งในบริเวณปัจจุบันแล้วเรียกชื่อวัดตามชื่อตำบล วัดนี้มีอายุประมาณร้อยปีเศษเพราะมีหลักฐานปรากฏว่าเจดีย์ของวัดนี้ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ภายในวัดมีสัปคับทอง (แหย่งช้าง ที่นั่งบนหลังช้าง) ของเจ้ามหาพรหมคำคง (เจ้าราชวงศ์) โอรสของพระเจ้าหลวงคำฝั้น เจ้านครเชียงใหม่องค์ที่สาม ถวายวัดไว้และยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน สถาปัตยกรรมประกอบด้วย เจดีย์ ทรงกลมแบบเชียงใหม่ ฐานบัวลูกแก้วย่อเก็จชั้นมาลัยเถาเป็นเหลี่ยม วิหารและอุโบสถทรงพื้นเมือง มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่

วัดท่าสะต๋อย ในอดีตที่ตั้งวัดติดริมฝั่งแม่นํ้าปิงด้านทิศตะวันออก เมื่อวัดถูกนํ้าเซาะชำรุดเสียหายจึงย้ายมาอยู่ในสถานที่ตั้งปัจจุบัน เดิมชื่อ วัดศรีสร้อยทรายมูล มีประวัติกล่าวถึงพระเจ้ากาวิละกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชล้านนาทรงนำกำลังทหารมาตั้งที่มั่นแถบนี้เรียกว่าวัดท่าสะต๋อย สถาปัตยกรรมประกอบด้วย วิหารเป็นที่ประดิษฐานองค์ประธาน พระพุทธชัยมงคล เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัย วิหารเป็นแบบล้านนา เจดีย์ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างเมื่อ พ.ศ.2472 กุฏิเจ้าอาวาส ภายในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทศบาลวัดท่าสะต๋อย นอกจากนี้ยังมีหอไตรไม้ที่มีความเก่าแก่และสวยงามอีกหลังหนึ่ง

สะพานนวรัฐเดิม (ขัวไม้สัก-ขัวเหล็ก) เดิมสะพานนวรัฐมีโครงสร้างเป็นไม้สักรูปโค้ง สร้างในสมัยพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ พ.ศ.2453 ต่อมาเมื่อมีการสร้างทางรถไฟถึงเชียงใหม่ มีการใช้รถยนต์บรรทุกสินค้าขนส่ง ทางการจึงได้รื้อสะพานไม้สักและสร้างสะพานนวรัฐ (ขัวเหล็ก) ขึ้นมาแทน ในปี 2464 มีความยาวห้าช่วงสะพาน โครงสร้างทำด้วยเหล็ก ภายหลังชำรุดจึงรื้อเพื่อสร้างตามรูปแบบที่เห็น ณ ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเพื่ออนุรักษ์รูปแบบเดิมไว้ จังหวัดเชียงใหม่จึงได้สร้างสะพานนวรัฐตามแบบเดิมอีกครั้งทางทิศใต้ของสะพานนวรัฐเมื่อปี พ.ศ.2539

โบสถ์โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน โบสถ์ไม้คริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่ ตั้งอยู่ภายในบริเวณโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน ถนนเจริญราษฎร์ โบสถ์หลังนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นโบสถ์ของชาวอเมริกันแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1891 (พ.ศ.2434) มีพิธีเปิดโบสถ์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1891 ใช้เป็นที่นมัสการของสมาชิกคริสตจักร และของนักเรียนโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนดาราวิทยาลัยก็ได้มาใช้โบสถ์ดังกล่าวเป็นที่นมัสการด้วย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หอระฆังโบสถ์คริสตจักรที่ 1 ถูกใช้เป็นที่ตั้งปืนต่อสู้อากาศยาน เพื่อป้องกันเครื่องบินทิ้งระเบิดทำลายสะพานนวรัฐ

พุทธสถาน เดิมเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดอุปคุต (พม่า) ต่อมาได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิพุทธสถาน เชียงใหม่ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2501 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่หลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนาโดยวิธีปาฐกถา ธรรมเทศนา ธรรมสากัจฉา ปุจฉาวิสัชนาและ อื่นๆที่เหมาะสม เผยแพร่วิทยาการอื่นๆ เป็นสถานที่ในการทำกิจกรรมทางพุทธศาสนาและ
กิจกรรมอื่นๆ ของเมือง

วัดอุปคุต หลวงอนุสารสุนทร (ซุ่นฮี้) และ แม่นายคำเที่ยง ชุติมา เป็นผู้สร้าง สถาปัตยกรรมประกอบด้วย วิหารแบบล้านนา ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ กุฏิสงฆ์ ศาลาอเนกประสงค์ หอไตรแบบยกพื้นขนาดย่อม มีการตกแต่งลวดลายประดับประดาอย่างสวยงาม ซุ้มประตูโขงขนาดใหญ่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ วัดนี้มีประเพณีการใส่บาตรพระอุปคุตทุกวันขึ้นสิบห้าคํ่าที่ตรงกับวันพุธเรียกว่า “เป็งพุธ” เชื่อว่าหากได้ใส่บาตรกับพระอุปคุตจะได้บุญมาก

ย่านท่าแพ ถนนท่าแพเป็นรู้จักแพร่หลายมาตั้งแต่อดีต เดิมเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว บริเวณสองฟากของถนนท่าแพนี้เป็นย่านร้านค้าและที่อยู่อาศัยของชาวพม่าและชาวต่องสู้ ในสมัยต่อมาย่านนี้ได้กลายเป็นย่านพ่อค้าชาวจีนตลอดสาย ปัจจุบันเป็นถนนสายสำคัญในด้านการท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ มีสถาปัตยกรรม เพื่อการพาณิชยกรรมที่สวยงามหลายหลัง เช่น ร้านทิพเสถียรพาณิชย์ ห้างกิติพันธ์พาณิชย์ (เดิม) บ้านท่าแพและร้านชาระมิงค์ ข้างคลองแม่ข่า เป็นกลุ่มอาคารเก่าแก่ประมาณ 60- 80 ปี เป็นอาคารไม้ฉลุลวดลายขนมปังขิง ร้านรัตนผล อาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรป มีลวดลายปูนปั้น รวมทั้งร้านค้าแบบไม้สองชั้นเก่าแก่สองข้างถนนท่าแพที่ยังเปิดทำการแก่นักท่องเที่ยว

มัสยิดเฮดายาตูลอิสลาม (บ้านฮ้อ) ผู้นำชุมชนบ้านฮ้อ “ท่านเจิ๋งชงหลิ่ง” ได้เดินทางร่วมกับกลุ่มพ่อค้าที่มาจากมณฑลยูนนาน เพื่อทำการค้าขายบริเวณรัฐฉาน ประเทศพม่าและเข้าสู่ประเทศไทยทางเขตอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในบริเวณภาคเหนือของไทยและในที่สุดย้ายมาอยู่ในเชียงใหม่ในปี พ.ศ.2458 ตั้งถิ่นฐานบริเวณย่านไนท์บาซ่าร์ในปัจจุบัน เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้มอบที่ดินแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าปิงให้เป็นที่ตั้งบ้านเรือนของท่าน จึงกลายเป็นศูนย์กลางการรวมตัวของพ่อค้าชาวจีนยูนนานมุสลิม เป็นจุดพักของกองคาราวานสินค้าที่ใช้ม้าและล่อเป็นพาหนะ ต่อมาท่านได้รับความไว้วางใจจากทางราชการไทยให้รับสัมปทานในการทำธุรกรรมทางไปรษณีย์ มีหน้าที่ส่งจดหมายโดยใช้ขบวนม้าและล่อเป็นพาหนะ เพื่อจัดส่งในพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ ของภาคเหนือ ในปี พ.ศ.2463 ทางราชการเริ่มมีนโยบายก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางจากลำปางสู่เชียงใหม่ ท่านเป็นผู้นำขบวนม้าและล่อในการลำเลียงวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างต่างๆ จากเชียงใหม่ไปถํ้าขุนตาน และเมื่อการก่อสร้างทางรถไฟสู่เชียงใหม่ได้สำเร็จลง ท่านได้บริจาคที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของท่านและพ่อค้าชาวจีนยูนนานมุสลิมจำนวนพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ ในการก่อสร้างสถานีรถไฟ และการก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่ ท่านจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “ขุนชวงเลียง” และพระราชทานนามสกุล “วงศ์ลือเกียรติ” ชาวยูนนานมุสลิมที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่ได้ใช้บริเวณ “บ้านลือเกียรติ” เป็นที่ประกอบศาสนกิจ มีการสร้างมัสยิดขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ.2458 ได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดิน การก่อสร้างอาคารมัสยิดหลังแรกของชาวยูนนานมุสลิม ในปี พ.ศ.2509 สัตบุรุษของมัสยิดอิสลามบ้านฮ่อ ได้รื้อถอนอาคารมัสยิดเดิมที่ไม่สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของชาวมุสลิมที่มาประกอบศาสนกิจ ก่อสร้างอาคารมัสยิดอิสลามบ้านฮ้อเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น

บ้านหลวงโยนการพิจิตร ปัจจุบันคือร้านอาหารในโรงแรมเพชรงาม ถนนเจริญประเทศ เป็นอาคาร 2 ชั้นครึ่งไม้ครึ่งปูนเป็นของคหบดีชาวไตใหญ่ (หม่องปันโย่ว) ใช้ลวดลายฉลุไม้มาตกแต่งราวระเบียง ราวบันได ป้านลมและชายคาเรียกว่าเรือนสะละไนขนาดใหญ่

เฮือนโบราณ บ้านร้อยปี เรือนเครื่องไม้คหบดีชาวไตใหญ่ (ทายาทของหม่องปันโย่วสืบสกุลอุปโยคิน) ใช้ลวดลายฉลุไม้มาตกแต่งราวระเบียง ราวบันได ป้านลมและชายคา เจ้าของอาคาร คุณสุรัตน์ ศิลปศรโกศล ปัจจุบันเป็นร้านอาหาร

วัดแสนฝาง ตำนานกล่าวว่าสร้างในสมัยพญาแสนภู กษัตริย์ราชวงศ์มังราย เดิมชื่อ วัดแสนฝัง คำว่าแสนฝัง สันนิษฐานว่าอาจมาจาก การที่พญาแสนภูทรงมีพระประสงค์จะฝากฝังขุมพระราชทรัพย์ของพระองค์ไว้ในพระพุทธศาสนาตามเยี่ยงพระเจ้าปู่และพระราชบิดา จึงดำริให้กำหนดสถานที่แห่งหนึ่งทางฝั่งทิศตะวันออกใกล้แม่นํ้าข่าและแม่ระมิงค์พอประมาณ และโปรดให้สร้างวัดแห่งหนึ่งโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์บริจาคในพระพุทธศาสนา สถาปัตยกรรมประกอบด้วย หอไตรกลางนํ้าหลังเก่า สร้าง พ.ศ.2412 ซุ้มประตู มงคลแสนมหาไชยสร้างเมื่อ พ.ศ.2418 เดิมเป็นไม้ ที่มุมกำแพงด้านตะวันออกมีหอคอยสูงเด่นทั้ง 2 มุมคือ มุมด้านเหนือและใต้สำหรับเป็นที่อยู่เวรยามของทหารในสมัยโบราณ วิหาร จากหลักฐานปรากฏว่าเมื่อ พ.ศ.2420 พระเจ้าอินทวิชยานนท์และเจ้าทิพเกสรราชเทวี ได้โปรดให้รื้อพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์มาปรับปรุงดัดแปลงสร้างเป็นวิหารลายคำ วิหารนี้เป็นทรงล้านนาไทยหลังคาเตี้ยและลาดตํ่า ประดับด้วยลวดลายไม้แกะสลักและปูนปั้นปิดทองสำหรับเจดีย์ทรงพม่านั้นหลักฐานกล่าวว่า พระครูบาโสภาโณเถระ ได้บูรณะสร้างเสริมเจดีย์ทำเป็นแบบพม่า กุฏิเจ้าอาวาส สร้างสมัยพระครูบาโสภาเถิ้ม และรองอำมาตย์เอกหลวงโยนการพิจิตร สร้างปี พ.ศ.2431 พระอุโบสถ สร้างเมื่อ พ.ศ.2453 ลักษณะรูปทรงเป็นสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนชั้นบนเป็นโครงสร้างไม้ หอไตรหลังใหม่ อยู่ด้านทางทิศตะวันตกของพระเจดีย์ ท่านอธิการศรีหมื่น
นุนทวโร เจ้าอาวาสขณะนั้นไว้ริเริ่มสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2488

วัดบุพพาราม เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ พระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังราย โปรดการสร้างราวปี พ.ศ.2039 ในบริเวณที่เป็นราชอุทยานของพระเจ้าติโลกราช เมื่อนครเชียงใหม่ฟื้นฟูบ้านเมือง เจ้าหลวงเชียงใหม่และอาณาประชาราษฎร์ได้บูรณะวัดให้เจริญรุ่งเรืองสืบมาราวปี พ.ศ.2362 เจ้าหลวงธรรมลังกา โปรดให้สร้างวิหารหลังเล็ก เครื่องไม้ศิลปะล้านนา ส่วนวิหารหลังใหญ่พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์โปรดให้สร้าง ใน พ.ศ.2539 มีการสร้างหอมณเฑียรธรรม เพื่อถวายเป็นราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ด้านหลังวิหารยังมีเจดีย์ทรงพม่าอีกหลังหนึ่งที่ควรค่าแก่การชมอย่างยิ่ง

วัดเชตวัน สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.2446 สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์มังราย มีนามเหมือนกับวัดเชตวันที่มีในประเทศอินเดีย สถาปัตยกรรมประกอบด้วย อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ วิหาร เจดีย์ 3 องค์ และพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะพม่า พระพุทธรูปเชียงแสนทองเหลืองประทับนั่งขัดสมาธิเพชร

วัดมหาวัน ตามความหมายของชื่อแปลว่า ป่าไม้ใหญ่ สถาปัตยกรรมประกอบด้วย เจดีย์แบบพม่า องค์ระฆังประดับลวดลายปูนปั้น ฐานสี่เหลี่ยมย่อมมุมประดับลวดลาย มีซุ้มประจำทิศทั้งสี่ทิศ วิหารทรงพื้นเมืองสร้างราว พ.ศ.2410 และได้ทำการบูรณะซ่อมแซมในปี พ.ศ.2526 วิหารแบบพม่า อุโบสถทรงพื้นเมืองล้านนา หอไตรสองชั้นเครื่องบนไม้มีหลังคาซ้อนชั้นมีการแกะสลักและลวดลายฉลุสวยงาม

ประตูท่าแพ เป็นประตูเวียงทางทิศตะวันออกของเมือง เดิมมี 2 ชั้น ชั้นนอกตั้งอยู่ในแนวเดียวกันกับกำแพงดินบริเวณหน้าวัดแสนฝาง ใช้เป็นทางออกสู่ท่าแม่นํ้าปิง ส่วนประตูท่าแพชั้นในเดิมเรียกว่าประตูเชียงเรือก เนื่องจากอยู่ใกล้หมู่บ้านเชียงเรือก สมัยต่อมาเหลือเฉพาะประตูเชียงเรือก แต่ก็ถูกเรียกว่าประตูท่าแพเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ประตูท่าแพที่เหลือนี้ได้รับการบูรณะใหม่ครั้งล่าสุดระหว่างปี พ.ศ.2528-2529 พร้อมกับการสร้างข่วงประตูท่าแพเพื่อใช้เป็นลานกิจกรรมของเมือง

วัดอู่ทรายคำ สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.2384 เดิมชื่อ วัดอุปคำ ซึ่งเป็นชื่อของมหาอุบาสิกาผู้มั่งคั่งและมีความเสื่อมใสในพระพุทธศาสนามากได้อพยพมาจากเชียงแสนในสมัยพญากาวิละเป็นผู้สร้างวัดนี้ สถาปัตยกรรมประกอบด้วย อุโบสถมีภาพเล่าเรื่องปูนปั้นติดฝาผนังด้านนอกเรื่องสังข์ทอง มีพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัย กุฏิสงฆ์ วิหาร ศาลาอเนกประสงค์ ชั้นเดียวก่ออิฐถือปูน หอไตรผสมศิลปะพื้นเมืองและพม่า

บทความโดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิฑูรย์ เหลียวรุ่งเรืองและคณะ
โครงการเผยแพร่เส้นทางท่องเที่ยวสถาปัตยกรรมเชิงประวัติศาสตร์

จักรพงษ์ คำบุญเรือง
[email protected]

ร่วมแสดงความคิดเห็น