ชุด ฉก.พญาเสือ สนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ อช.ดอยสุเทพ – ปุย ลุยตรวจต่อเนื้อง พื้นที่รุกเขตอุทยานฯ ล่าสุดพบอีก 5 แปลงใหญ่

ชุด ฉก.พญาเสือ สนธิกำลัง เจ้าหนน้าที่ อช.ดอยสุเทพ – ปุย ลุยตรวจต่อเนื่อง พื้นที่รุกเขตอุทยานฯ ล่าสุดพบอีก 5 แปลงใหญ่ มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทั้งหอพัก สถานประกอบการ และบ้านเช่า ด้านเจ้าหน้าที่เตรียมดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ดำเนินการตามกฎหมาย หากไม่เป็นไปตามเอกสารสิทธิ์ ต้องตรวจยึดเป็นพื้นที่ของอุทยานฯ ชี้ทุกขั้นตอนอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด

วันที่ 8 มี.ค.60 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หน.ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมด้วย นายกริชสยาม คงสตรี หน.อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ รวมจำนวน กว่า 100 นาย ได้เข้าทำการปฏิบัติการยึดคืนผืนป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ -ปุย โดยในวันนี้ได้มีการบุกตรวจพื้นที่ จำนวน 5 จุด ในพื้นที่ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าได้มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างผิดกฎหมาย ภายในเขตอุทยานแห่งชาติจำนวนมาก ซึ่งเป็นการปฏิบัติการลงพื้นที่ต่อเนื่องเป็น วันที่ 2

โดยมีเป้าหมาย จำนวน 5 แปลงใหญ่ ได้แก่ บ้านไม่มีเลขที่ จำนวน 2 หลัง บริเวณใกล้กับวัดร่ำเปิง , หอพักแทนคุณ เลขที่ 12/24 หมู่ 5 ต.สุเทพ , และสถานประกอบการสปา สวนทิพย์เมฆชลานันท์ เลขที่ 16/1 หมู่5 ต.สุเทพ และบ้านเลขที่ 70 หมู่5 ต.สุเทพ โดยในการตรวจสอบในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากที่เจ้าหน้าที่ได้มีการเปรียบเทียบภาพถ่ายทางอากาศ และได้มีการตรวจพบว่ามีพื้นที่บางส่วน ที่ได้มีการก่อสร้างรุกล้ำในเขตอุทยานแห่งชาติจริง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการนำกำลังไปตรวจสอบ

พบว่าบางจุดเป็นที่รัฐบาลได้มีการให้สิทธิ์เป็นที่ทำกิน แต่ได้มีการ ซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างซึ่งถือเป็นการใช้งาน พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ และมีบางส่วนซึ่งได้มีการรุกเขตอุทยานฯ ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้มีการตรวจสอบถึงที่มาที่ไป และความถูกต้องในการครอบครองเอกสารสิทธิ์ ถ้าเกิดพบว่ามีการกระทำความผิด ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย


ขณะที่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ วานนี้ (7 มี.ค.60) จำนวน 4 แปลง ในพื้นที่ อ.หางดง และ อ.สะเมิง พบว่าได้มีเจ้าของพื้นที่บางส่วนนำเอกสารสิทธิ์มาแสดงต่อทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ ก็จะต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวว่ามีความถูกต้องหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีเอกสารถูกต้องทางเจ้าหน้าที่ ก็จะต้องแจ้งว่ามีความถูกต้อง แต่หากตรวจเอกสารแล้วไม่ตรงกับหลักฐาน ก็จะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยไม่สนว่าจะเป็นผู้มีอิทธิ พลหรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางเจ้าหน้าที่ จะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หน.ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า สำหรับการเข้าดำเนินการในวันนี้ ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบนั้นคือ แปลงที่ดินตามมติ ครม.ที่มีการครอบครองและขยายโดยการทำรั้วแนวเขตเพิ่มขึ้นจากเดิม จากที่ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสำรวจครั้งแรกพบว่ามีพื้นที่ เพียง 1 ไร่เศษ แต่เมื่อเข้าทำการสำรวจอีกครั้งกลับพบว่า มีการทำรั้วเพิ่มเติมประมาณ 10 กว่าไร่ ดังนั้นพื้นที่ที่เกินและอยู่ในการครอบครอง จะต้องดำเนินการขอยึดคืนทั้งหมด

โดยมีการสำรวจพันธุ์ไม้และรายละเอียดโดยรอบว่ามีไม้เดิมเท่าไหร่ และไม้ที่เกิดขึ้นใหม่เท่าไหร่ โดยอาศัยด้านวิชาการ ดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิกถอนสิทธิ์ และในส่วนช่วงที่ต่อเป็นบริเวณแนวเขตของอุทยานฯ ก็มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตชุมชนโดยที่ไม่ได้แจ้ง และไม่ได้มีการครอบครองเดิม โดยจากการตรวจสอบพบว่าบริเวณนี้มีแปลงตามมติ ครม.30 มิ.ย.41 ที่มีผู้ครอบครองและแจ้งสิทธิ์ แต่ก็ไม่ได้มีความถูกต้องทั้งหมด โดยต้องรอการพิสูจน์สิทธิ์ ว่ามีบุคคลใดมาก่อนหรือหลัง การประกาศของอุทยานฯ หรือการประกาศของป่าสงวนแห่งชาติ และป่าคุ้มครอง ก็จะต้องดำเนินการไปตามระเบียบต่อไป


ในส่วนของที่ได้มีการดำเนินคดีในวันนี้ จากการตรวจสอบทราบว่าเป็นเจ้าของในครอบครัวเดียวกัน โยกแบ่งให้กับลูกหลานแต่ละคน และได้มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งมีการประกอบธุรกิจ โดยการให้ชาวต่างชาติเช่าเป็นที่พักอาศัย รวมถึงมีการก่อสร้างเป็นหอพัก โดยจะดำเนินคดีทั้งสิ้น 4 ราย 5 จุด ของการดำเนินคดี ที่มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นล๊อคๆ และจากการลงสำรวจของเจ้าหน้าที่ ก็ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับทางเจ้าของแล้ว ซึ่งทางเจ้าของนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากว่าการได้มาของที่ดินนั้น อาจจะได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมายคือ อาจจะมีการทำกินมาก่อนการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานฯ หรือการประกาศคุ้มครอง ซึ่งจุดนี้ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

อย่างไรก็ตามในส่วนของสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นในเขตของอุทยานฯ จะถือว่าเป็นการก่อสร้าง แผ้วถาง บุกรุก ครอบครอง และทำสิ่งปลูกสร้าง โดยทางทางอุทยานฯ ไม่สามารถอนุญาตให้ดำเนินการสร้างได้ และในส่วนของการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม ก็จะต้องประสานกับทางเทศบาล หรือทาง อบต.ในพื้นที่ว่าอนุญาตให้สร้างสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ภายในเขตของอุทยานฯ ได้อย่างไร ดังนั้นในการสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ต้องได้รับการอนุญาตจากอุทยานฯ ด้วย

หน.ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจพญาเสือ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับเป้าหมายในการลงพื้นที่ตรวจสอบของทางเจ้าหน้าที่นั้นจริงๆ แล้วมีประมาณ 10 กว่าจุด แต่เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งอาจจะมีความไม่สอดคล้องกับงาน ประกอบกับมีภารกิจย่อยอีกหลากหลายภารกิจ จึงทำให้มีเวลาในการตรวจสอบทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามภารกิจที่คงค้างอยู่นั้นยืนยันว่าก็จะต้องมีการดำเนินการอีกครั้ง เพราะจากการตรวจสอบก็พบว่าในพื้นที่นี้ มีการซื้อขายเปลี่ยนมือเยอะมาก ประกอบกับการพิจารณาแต่ละเรื่องของเจ้าหน้าที่ ก็อาจเกิดปัญหาบ้าง จึงขอความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ในพื้นที่และผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินการด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น