เครื่องสำอางไทย ขึ้นแท่นแชมป์ เบอร์ 1 อาเซียน

เผยเทรนด์อุตสาหกรรมความงามไทยโตทวนกระแสเศรษฐกิจ คาดการณ์มูลค่าปี 60 พุ่งถึง 2.8 แสนล้าน เผยตลาดส่งออกหลักของเครื่องสำอางไทยคือแดนปลาดิบ รองลงมาคือฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เปิดตัวเลขในตลาดโลก ไทยครองอันดับที่ 17 ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอางรายสำคัญ แถมยังรั้งที่ 1 ในระดับอาเซียนอีกด้วย

พบว่าปัจจุบันมีธุรกิจเครื่องสำอางที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศกว่า 1,800 ราย ด้วยมูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลกว่า 11,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วยอัตราเติบโต 40% สามารถแบ่งตามพื้นที่เป็นกรุงเทพมหานคร 53.5%, ภาคกลาง 27.5% และ ภาคเหนือ 6.2% ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งการค้า แหล่งวัตถุดิบ และนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น โดยในจำนวนของผู้ดำเนินกิจการทั้งหมดนี้เป็น SMEs ถึง 90%

อนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม (เอเชีย) ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ความงามในปี 2018 มองว่ามีแนวโน้มว่าสินค้าความงามจะต้องลดการใช้น้ำอันเป็นทรัพยากรสำคัญลง ตามมาด้วยเทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เข้าใกล้ความเป็น 100% ให้ได้มากที่สุด ส่วนอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามอง คือเทรนด์เครื่องสำอางสำหรับเด็ก โดยการวิจัยของ Mintel (มินเทล) ระบุไว้ว่า เด็กอเมริกัน 80% ที่มีอายุระหว่าง 9-11 ขวบ ได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ความงามที่ทำขึ้นมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ อาทิ ลิปมัน โลชั่นที่มีกลิ่นหอม ฯลฯ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับเทรนด์ความงามในแต่ละเทรนด์ ดังนี้

ในอนาคตโลกจะเผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำ และน้ำจะกลายเป็นทรัพยากรที่หาได้ยากและกลายเป็นวัตถุดิบที่มีราคาสูงไปโดยปริยาย ซึ่งผู้บริโภคในต่างประเทศในปัจจุบันกำลังตื่นตัวถึงปัญหาด้านการใช้น้ำ โดย 33% ของประชากรในสหราชอาณาจักร บอกว่ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำ 27% อาบน้ำเร็วขึ้นและประหยัดน้ำมากขึ้น

ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับตัว เริ่มจากการปรับสูตรของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เป็นสูตรใช้น้ำน้อยไปจนถึงไม่ต้องใช้น้ำเลย เช่น Dry-Shampoo, สบู่ที่ไม่ต้องล้างออก และยาสีฟันที่ไม่ต้องล้าง เป็นต้น สำหรับในยุคต่อไป คาดการณ์ว่าสินค้าความงามเกือบทั้งหมดจะพัฒนารูปแบบไปสู่การที่ไม่ใช้น้ำอีกเลย

จากกระแสนิยมรักสุขภาพและการใฝ่หาความเป็นธรรมชาติ 100% ทั้งในอาหาร ยา และเครื่องสำอาง ส่งผลให้ผู้บริโภคในปัจจุบันหันหลังให้สิ่งที่ผลิตขึ้นจากห้องแล็บ โดยจากผลสำรวจของมินเทล พบว่า 50% ของเพศชายในสหราชอาณาจักรเชื่อว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมและวัตถุดิบจากธรรมชาติให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเครื่องสำอางแบรนด์ใหญ่ที่ผลิตในห้องแล็บ และอีกกว่า 42% ของผู้บริโภคชาวสหราชอาณาจักรเชื่อว่าการซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติหรือผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจะทำให้สุขภาพดีขึ้นและสภาพแวดล้อมของโลกดีขึ้นด้วย

นำมาซึ่งความนิยมของเทรนด์ความงามที่เรียกเล่นๆ ว่า ‘kitchen-beauty’ ที่หยิบเอาวัตถุดิบต่างๆ ในครัวมาใช้สำหรับเสริมความงาม โดยนอกจากจะเป็นการตอกย้ำถึงกระแสรักสุขภาพแล้ว ยังสามารถเห็นถึงการมีส่วนร่วมหรือเป็นผู้กำหนดสูตรต่างๆ ของเครื่องสำอางได้เองอีกด้วย

นอกจากนั้น ไลฟ์สไตล์แบบคนยุคใหม่ที่เร่งรีบ และทำกิจกรรมหลากหลาย ทำให้ปัญหากวนใจเรื่องผิวพรรณเปลี่ยนจากยุคขาวกระจ่างใส และต้านริ้วรอยมาเป็นความกังวลเรื่องพลังงาน และความสดใสของผิวแทน จึงทำให้ผู้บริโภคในยุคนี้เริ่มค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการให้เพิ่มพลังให้ผิว โดย 79% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรไม่ชอบความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เหนื่อยล้า และเป็นปัญหาสุขภาพอันดับ 2 ที่ชาวอเมริกันกังวลเช่นกัน และในปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่มีเส้นแบ่งระหว่างปัญหาด้านความงาม โดยผลงานวิจัยรายงานว่า 72% อยากทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นด้วยการนอนหลับที่ดีขึ้น, 64% ต้องการทานอาหารอย่างสมดุลเพื่อลดน้ำที่ค้างอยู่ในผิวหนัง, 59% ต้องการที่จะออกกำลังกายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมองหาสินค้าและบริการทางความงามที่ตอบสนองเพื่อสุขภาพองค์รวมเพิ่มมากขึ้น

จากรายงานของมินเทล ระบุว่า ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้ามากกว่า 12% เพิ่มส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มพลังให้ผิว ซึ่งมีผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตา และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายอื่นๆ เพิ่มมาเช่นกัน

และเทคโนโลยีความงาม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกได้ว่าตัวเองมีส่วนร่วมสำคัญในการจัดการกับความงามบนร่างกายตัวเองได้อย่างแท้จริง ซึ่งผลงานวิจัยระบุว่า ผู้บริโภคชาวจีน 18% เป็นเจ้าของเทคโนโลยีความงามที่ทรงประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้นถึง 13% จากปี 2014 นอกจากนี้ 48% ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดในอังกฤษ ให้ความสนใจที่จะใช้แอปพลิเคชั่น ที่สามารรถตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของสภาพผิว และจุดด่างดำต่างๆ ซึ่งในปัจจุบัน กว่า 30% ของผู้หญิง อเมริกาบอกว่าพวกเขาสนใจที่จะลองใช้สกินแคร์ที่มีเครื่องมือช่วยตรวจสภาพผิวพร้อมกันด้วย

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่าอุตสาหกรรมความงามของไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี ปัจจุบัน ธุรกิจนี้มีมูลค่าตลาดในประเทศถึง 2.8 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 60% หรือ 1.68 แสนล้านบาท และตลาดส่งออกที่ทำรายได้ให้ประเทศถึง 40% หรือกว่า 1.12 แสนล้านบาท ส่วนในเวทีโลก ไทยครองอันดับที่ 17 ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอางรายสำคัญ ทั้งยังรั้งที่ 1 ในระดับอาเซียนอีกด้วย

สำหรับสินค้าความงามของไทยพบว่า การบริโภคของตลาดในประเทศแบ่งออกเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผิว 46% ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม 16%, เครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า 16% และน้ำหอม 3%
ส่วนการส่งออกสินค้าความงามของไทยไปยังอาเซียนและทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม 40%, ผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำ 22%, ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก 16%, สกินแคร์ 13%

โดยประเทศที่ไทยส่งออกเครื่องสำอางไปจำหน่ายมากที่สุด คือญี่ปุ่น รองลงมาคือฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย และอินโดนีเซียตามลำดับ

ร่วมแสดงความคิดเห็น