หนุ่มคลั่งเมายาจี้สาวเป็นตัวประกัน ตร.พากันระงับเหตุวุ่น

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 60 โดยทาง พ.ต.อ.ชัชวรินทร์ บุนนาค ผกก.สภ.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งรายงานว่า เกิดเหตุชายหนุ่มคลุ้มคลั่งเมายา ทำร้ายประชาชนและเอามีดจี้จับตัวผู้หญิงเป็นตัวประกัน เหตุเกิดที่ห้องแถวไม่มีเลขที่ ข้างสถานนีวิทยุเสียงสามยอด หมู่ 8 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ภายหลังทราบเรื่องจึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ และช่วยเหลือผู้ถูกจับกุมเป็นตัวประกัน พร้อมทั้งได้ประสานทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อไปถึงยังจุดเกิดเหตุ พบกลุ่มประชาชนและชาวบ้านในระแวกดังกล่าวกำลังยืนมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตกใจ ขณะเดียวกันพบชาย 1 คน อยู่ในสภาพคลุ่มคลั้ง คลายคนเมายา ใช้มีดปลายแหลมยาวจี้คอหญิงสาว ทางเจ้าหน้าที่ต้องตรึงกำลังไว้โดยรอบ และพยายามเกลี้ยกล่อมชายคนดังกล่าวอยู่พักใหญ่

ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบทราบว่าชายที่ก่อเหตุรายนี้ชื่อ นายพสิษฐ์ วัฒนาสาร อายุ 39 ปี เป็นชาว จ.สุรินทร์ ส่วนหญิงสาวเคราะห์ร้ายนั้นทราบเพียงเป็นชาวพม่า อายุ 26 ปี นอกจากนี้พบว่า นายพสิษฐ์ พูดจาไม่รู้เรื่อง บ่นเพียงว่ามีคนจะมาลอบทำร้าย และไม่ยอมให้ทางเจ้าหน้าเข้าใกล้ โดยเวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง ที่ทางเจ้าหน้าที่พยายามเกลี้ยกล่อมแต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล และต่อมา นายพสิษฐ์ ยังได้ทำการเปิดถังแก๊สหุ้งต้มภายในห้องแถวและทำท่าจะจุดเพื่อข่มขู่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้ามายุ่ง แต่ระหว่างนั้นทางหญิงสาวที่ถูกจับอาศัยจังหวะเผลอดิ้นหลุดออกจากวงแขนแล้ววิ่งออกมาข้างนอก นายพสิษฐ์ ได้วิ่งตามออก เมื่อทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าสบโอกาสจึงกรูกันเข้าไปชาร์จจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุด ก่อนจะทำการใส่กุญแจมือแล้วนำตัวขึ้นรถเพื่อนำไปขังไว้ยังสถานี

ทั้งนี้เบื้องต้นภายหลังเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ทางเจ้าหน้าที่ได้สอบสวน นายพสิษฐ์ แต่ทางเจ้าตัวยังคงให้การวกไปวนมา และพูดจาไม่รู้เรื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดปรากฏว่าผลการตรวจเป็นบวก ทางเจ้าหน้าที่จึงคาดว่า นายพสิษฐ์ นั้นน่าจะเสพยาเกินขนาดประกอบกับดื่มสุราอย่างหนักทำให้ขาดสติ แล้วเกิดประสาทหลอน หวาดกลัวคิดว่าจะมีคนมาทำร้าย จึงก่อเหตุจับกุมตัวประกัน ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดนั้นต้องรอให้ทาง นายพสิษฐ์ มีอาการดีขึ้นก่อนจะสอบปากคำอีกครั้งและดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น