เมื่อวันที่ 18 ก.ย.60 เวลาประมาณ 13:30 น. ร.ต.ท.ชัยรัตน์ ตันแก้ว พงส. สภ.เฉลิมพระ เกียรติ จ.น่าน ได้รับแจ้งจาก นายสำราญ อินทนะ ปลัด อบต.ห้วยโก๋น ว่ามีรถบรรทุกน้ำมันพ่วง ขนาด 22 ล้อ พลิกคว่ำ ที่บริเวณหน้าด่านห่างจาก อบต.ห้วยโก๋น ต.ห้วยโก๋น ประมาณ 1 กม. จึงได้ประสานไปยัง จนท.กู้ชีพ กู้ภัย , จนท.หน่วยทหารพราน ในพื้นที่เข้าตรวจสอบ
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบรถบรรทุกน้ำมันพ่วง ขนาด 22 ล้อ ยี่ห้อ ฮีโน่ สีขาว หัวลากทะเบียน 70 – 7701 เชียงราย พ่วงตัวลูกทะเบียน 70 – 4887 เชียงราย ซึ่งเป็นรถบรรทุกน้ำมันของ บริษัทจุฑาทิพย์ทรานสปอร์ต จำนวน 40,000 ลิตร โดยมี นายธนภัทร กุลบุตร เป็นคนขับ สภาพรถตะแคงอยู่ข้างทาง ทำให้น้ำมันไหลออกจากแท้งที่บรรจุ และน้ำมันดังกล่าวเกือบ 1 หมื่นลิตร บางส่วนได้ไหลลงสู่บริเวณหน้าด่านและลำห้วย
ซึ่งนายสำราญ อินทนะ ปลัด อบต.ห้วยโก๋น ได้สั่งการให้รถดับเพลิง อบต.ห้วยโก๋น ควบคุมสถานการณ์ โดยการปิดกั้นน้ำมัน ไม่ให้ไหลออกมาอีก และได้ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำก่อน หวั่นจะเกิดเพลิงลุกไหม้ ตอนนี้ได้ควบคุมสถานการณ์ป้องกันการเกิดเพลิงไหม้ และกันผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ให้เข้าใกล้ที่เกิดเหตุและปิดการจราจรบางส่วน
ตรวจสอบในเบื้องต้นพบ อาคารด่านตรวจคนเข้าเมือง อาคารด่านศุลกากร จุดตรวจความเรียบร้อยของ อบต.ห้วยโก๋น รถยนต์เสียหาย 1 คัน และรถมอเตอร์ไซด์ของผู้ปฎิบัติหน้าด่าน จำนวน 3 คัน และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
จากการสอบถาม นายธนภัทร คนขับรถบรรทุกน้ำมัน ทราบว่า ได้ขับรถบรรทุกน้ำมันคันดังกล่าว เป็นน้ำมันดีเซล จำนวน 40,000 ลิตร เพื่อจะไปส่งที่ บ้านเมืองเงิน สปป.ลาว เมื่อถึงที่เกิดเหตุตนเองได้ดึงเบรกมือแล้ว และได้ลงมาประสาน จนท.ที่จุดตรวจ ทันใดนั้นรถบรรทุกที่จอดอยู่ได้ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งชนด่านตรวจของ จนท.หลายหน่วยงาน ได้รับความเสียเกือบทั้งหมด แล้วรถบรรทุกน้ำมันได้พลิกคว่ำดังกล่าว ซึ่งตนเองและ จนท.ได้วิ่งหนีกันวุ่น ส่วนรถนั้นได้ประสานให้ ทาง จนท.ประกันภัยชั้น 1 ของบริษัทฯที่ทำไว้ดำเนินการต่อไป
นายสำราญ อินทนะ ปลัด อบต.ห้วยโก๋น ที่มาอำนวยการควบคุมครั้งกล่าวว่า สำหรับรถบรรทุกน้ำมันที่พลิกคว่ำคันดังกล่าวนั้นคาดว่า น่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการกู้รถ เนื่องจากพื้นที่ถนนดังกล่าวนั้น แคบสองเลนรถวิ่งสวนทางกัน และอีกฝั่งเป็นเหวลึก อาจทำให้เกิด อันตรายในระหว่างการกู้รถบรรทุก ซึ่งในตอนนี้ทาง จนท.ได้นำอุปกรณ์แจ้งเตือน มาวางในพื้นที่เกิดเหตุดังกล่าว เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ให้แก่ผู้ที่สัญจรไปมา เพื่อความปลอดภัยและหวั่นเกรงจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
ร่วมแสดงความคิดเห็น