นครลำปาง…อดีตเมืองแห่งการค้าของอาณาจักรล้านนา

นครลำปางเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนามานานจนถึง พ.ศ. 2101 อาณาจักรล้านนาก็ถูกพม่าแผ่อำนาจเข้ามาปกครอง เป็นเวลากว่า 200 ปี บางครั้งก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง วิถีชีวิตความเป็นไปของนครลำปางและเจ้าผู้ครองนครก็คล้ายคลึงกับเจ้าเมืองล้านนาอื่น ๆ คือต้องปกครองบ้านเมืองอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 อาณาจักร คืออาณาจักรอังวะของพม่าและอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา

จากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้ยืนยันให้เห็นว่า เมืองเขลางค์นคร หรือ นครลำปาง เป็นเมืองของคนกล้าสามารถ แม้แต่ในปัจจุบัน ในบรรดาคนเมืองด้วยกันก็ยอมรับกันว่าคนลำปางเป็นคนดุ เฉียบขาดชนิดที่เรียกว่าทำอะไรทำจริง คุณสมบัติที่ว่านี้คงจะเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของชาวลำปางที่เพาะบ่มฝังรากลึกมานาน ซึ่งจะเห็นได้จากมรดกทางศิลปกรรมและผลงานทางด้านวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในบริเวณเมืองลำปาง ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม เช่น วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดไหล่หินหลวง วัดเจดีย์ซาว วัดพระแก้วดอนเต้า วัดศรีชุม ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัดที่มีความงดงามเฉียบขาด ไม่มีที่เปรียบทั้งในแง่ความสวยงาม สุนทรียศาสตร์ ฝีมือ ชั้นเชิงช่าง จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าศิลปกรรมในลำปางนั้นเป็นสุดยอดของศิลปกรรมล้านนาเลยทีเดียว

เมื่อมีโอกาสมาเยือนอดีตหัวเมืองทางการค้าของล้านนา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องไปไหว้พระธาตุลำปางหลวง ว่ากันว่า พระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีฉลู ความสำคัญของวัดแห่งนี้ คือเป็นพระอารามหลวงประจำจังหวัดลำปาง ที่มีความสวยงามที่สุดของล้านนา พระเจดีย์ ,วิหารหลวงแบบเปิดโล่ง, ซุ้มประตูโขง, บันไดพญานาคทางขึ้นวัด, ซุ้มพระเจ้าล้านทอง พระประธานในพระวิหารหลวง รวมทั้งบรรดาศิลปวัตถุตกแต่งภายในวัดล้วนแล้วแต่ศิลปกรรมชิ้นเอก ที่เมื่อมารวมกันอยู่ภายในวัดแห่งนี้ทำให้ดูมีพลังและจิตวิญญาณอย่างไม่ต้องหาคำอธิบายใด ๆ มาเปรียบเปรย

วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นเสมือนศูนย์รวมของชุมชนที่สำคัญแห่งหนึ่ง ภายในวัดพระธาตุลำปางหลวงมีความงดงามอลังการของสถาปัตยกรรมล้านนา ตั้งแต่พระเจดีย์ พระวิหาร ซุ้มประตูโขง จนถึงซุ้มพระเจ้าล้านนา ซึ่งเป็นพระประธานในวิหารหลวง ล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาและศิลปกรรมในล้านนาสมัยนั้นเป็นอย่างดี

ออกจากวัดพระธาตุลำปางหลวง มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง ไปนั่งรถม้าชมเมืองลำปาง รถม้าถือเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดลำปาง เท่าที่ทราบคือ เริ่มเข้ามาแพร่หลายในจังหวัดลำปางครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 เมื่อเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองลำปางในสมัยนั้น ได้นำรถม้ามาจากกรุงเทพฯ มาใช้เป็นพระราชพาหนะ ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 เมื่อมีการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ได้แล้วเสร็จถึงจังหวัดลำปาง กอปรกับในขณะนั้นบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯได้เปลี่ยนยานพาหนะจากรถม้ามาเป็นรถยนต์ตามยุคสมัยแห่งการพัฒนา คหบดีของจังหวัดลำปางในสมัยนั้นได้ถือโอกาสซื้อรถม้าดังกล่าวมาใช้ถึง 185 คัน ในราคาถูกผ่านทางรถไฟซึ่งง่ายและสะดวกในการขนส่งมายังจังหวัดลำปาง

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2491 หรือประมาณเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา ผู้เกี่ยวข้องและประกอบอาชีพขับรถม้าในจังหวัดลำปางได้มีการรวมตัวกับพยายามดำเนินการก่อตั้งเป็นรูปแบบของสมาคมและสามารถจดทะเบียนเป็นสมาคมได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2492 โดยตั้งชื่อว่า “สมาคมกรรมกรล้อเลื่อนจังหวัดลำปาง” มีขุนอุทานคดีเป็นนายกสมาคมคนแรก ต่อมาเจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง ได้เข้ามาบริหารแทนขุนอุทานคดี ซึ่งท่านได้เป็นนายกสมาคมรถม้าคนที่ 2 และได้มีการเปลี่ยนชื่อจากสมาคมกรรมกรล้อเลื่อนจังหวัดลำปาง ให้เหมาะสมกับรูปลักษณ์แห่งความเป็นจริงว่า “สมาคมรถม้าจังหวัดลำปาง” มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า The Horse Carriage In Lampang Province

 

รถม้าลำปางได้พลิกบทบาทจากราชพาหนะชั้นสูงมาสู่วงจรของการท่องเที่ยว ในฐานะของพาหนะสำคัญคู่เมืองลำปางในการต้อนรับคนต่างถิ่น มาถึงวันนี้ “รถม้า” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวลำปาง เมื่อมาเยือนลำปางเราจะพบว่าที่นี่เป็นจังหวัดเดียวที่ยอมให้ “ม้า” วิ่งบนท้องถนนเคียงคู่กับรถยนต์ เช่นนี้แล้วเมื่อไปเยือนเมืองลำปางจะไม่ไปสัมผัสวิถีชีวิตหนึ่งเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวลำปางเชียวหรือ

 

 

การท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งของลำปางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวคือ การนั่งรถม้าชมศิลปกรรมของวัดพม่าในลำปาง วัดพม่าที่ปรากฏอยู่ในลำปาง สร้างขึ้นโดยชาวพม่าที่เข้ามาทำไม้สักในภาคเหนือเมื่อราวร้อยกว่าปีก่อน แต่เดิมคนไทยในสมัยนั้นยังไม่มีความชำนาญในการทำไม้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านการทำไม้จากต่างประเทศเข้ามาเป็นผู้ดูแลและดำเนินกิจการ ชาวต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในการทำป่าไม้ที่สุดในเวลานั้นได้แก่ชาวอังกฤษ เพราะเดินทางเข้ามาทำไม้ในประเทศพม่าเป็นเวลานานแล้ว

วัดพม่าในเมืองลำปางนั้นสร้างขึ้นด้วยความสวยงามวิจิตร แสดงถึงความร่ำรวยและมั่งคั่งของผู้สร้าง วัดพม่าที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปได้แก่ วัดพระแก้วดอนเต้า วัดศรีรองเมือง วัดศรีชุม ฯลฯ ศิลปกรรมแบบพม่ามีความโดดเด่นตรงที่หลังคาซ้อนกันหลายชั้นเรียงซ้อนกันขึ้นไป บนยอดของหลังคายังมีฉัตรติดตั้งอยู่ ซึ่งสถาปัตยกรรมพม่าแบบนี้เรียกว่า “ทรงพระยาธาตุ”

ความคติความเชื่อในการสร้างอาคารที่มีหลังคาซ้อนกันหลายชั้น ชาวพม่าถือว่าลักษณะอาคารแบบนี้เป็นของสูงมักจะสร้างเฉพาะพระราชวัง โบสถ์ วิหาร สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น สำหรับศาสนสถานต่าง ๆ นั้น มีคติว่า ภายใต้เรือนยอดสูงสุดจะเป็นตำแหน่งประดิษฐานพระประธาน จะนำไปประดิษฐานที่เรือนอื่นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อใดที่เดินทางเข้าไปเที่ยววัดพม่า จึงสังเกตได้โดยไม่ยากว่าที่ใดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่เป็นพระประธาน

 

ภายในโบสถ์ วิหารหรือมณฑปของวัดพม่า มักจะมีการประดับประดาเสาและเพดานด้วยกระจกสีเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ลายดอกไม้ เครือเถาลายก้านขด บางที่ก็ทำเป็นลายใบไม้ในสไตล์ยุโรป ศิลปกรรมเหล่านี้ก็คืออิทธิพลและการเคลื่อนไหวทางศิลปกรรมของช่างพม่าที่เคยตกอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษเป็นเวลานาน

การเยี่ยมชมศิลปกรรมแบบพม่าในวัดเมืองลำปางนั้นต้องใช้เวลาเต็มวัน เพราะในลำปางมีวัดพม่าที่สวยงามต่าง ๆ หลายวัดกระจัดกระจายกัน ส่วนใหญ่จะเกาะกลุ่มอยู่ในเขตอำเภอเมือง แต่ถ้าจะให้ได้ความรู้และความประทับใจแล้วจะต้องไล่ชมกันไปตั้งแต่วัดที่มีความสวยงามที่สุด ทั้งในรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการตกแต่งประดับประดากระจกไปจนถึงวัดพม่าแบบธรรมดา

เมื่อมาเมืองลำปาง จะต้องไม่พลาดไปชมย่านการค้าเก่าของลำปาง นั่นคือ “กาดกองต้า” ซึ่งตั้งอยู่บนถนนตลาดเก่าริมฝั่งแม่น้ำวัง เคยเป็นตลาดขายสินค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีความคึกคักมากที่สุดในยุคของเจ้านรนันชัยชวลิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง ระหว่างปี พ.ศ. 2430 – 2440 ความสำคัญของกาดกองต้านอกจากเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าแล้ว ในอดีตที่แห่งนี้ยังเป็นท่าสำหรับล่องไม้สักลงไปขายที่จังหวัดนครสรรค์อีกด้วย

 

 

ชุนชนที่เข้ามาทำธุรกิจ การทำไม้และค้าขายในสมัยนั้นได้แก่ ชาวอังกฤษ พม่า อินเดีย และชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของที่นี่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่า “ตลาดจีน” และเนื่องจากบริเวณย่านนี้มีคนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ อาคารบ้านเรือนที่ปลูกจึงมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างยุโรป พม่า จีน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำปางที่มีมานานกว่า 100 ปี

อาคารสำคัญที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของย่านตลาดจีน ได้แก่ อาคารพานิชสีแดง อาคารหม่องหงิ่วสิ่น อาคารกวงฮั่วหลีเก่า ร้านบุญส่งและบ้านแม่แดง เป็นต้น

จะเห็นว่า การที่ชุมชนชาวจีนบริเวณกาดกองต้า ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำวังจึงมีโอกาสที่จะติดต่อเชื่อมโยงกับชุมชนการค้าอื่น ๆ ทั้งใกล้และไกลออกไป ดังกล่าวข้างต้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีผู้คนเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายและตั้งถิ่นฐาน หลายเชื้อชาติ หมายภาษา รัฐบาลกรุงเทพฯจึงได้ให้ความสำคัญกับเชียงใหม่มากกว่าหัวเมืองอื่นในล้านนา เพื่อควบคุมดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือหรือหัวเมืองล้านนาทั้งหมดอีกด้วย

ปัจจุบัน ย่านตลาดจีนหรือกาดกองต้า ยังคงกลิ่นอายมนต์เสน่ห์แห่งการค้าริมฝั่งแม่น้ำวังเอาไว้ แม้ว่าจะไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน ทว่าอาคารต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงได้รับการอนุรักษ์รักษาเป็นอย่างดีรวมถึงวิถีชีวิตของชุมชนยังคงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพากันเข้ามาเยือนชุมชนแห่งการค้าตลาดจีนเก่าเป็นจำนวนมาก

จักรพงษ์ คำบุญเรือง
[email protected]

ร่วมแสดงความคิดเห็น