เริ่มแล้ว!! ฤดูกาลล่า “ทางช้างเผือก” ยามเช้า

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี เปิดฤดูกาลล่า “ทางช้างเผือก” เผยช่วงเช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ในเดือน ก.พ.-เม.ย. จะเห็นใจกลางทางช้างเผือกเด่นชัด ทางทิศตะวันออก ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู สังเกตได้ทุกภูมิภาคของประเทศ บริเวณที่มืดสนิทไร้แสงเมืองรบกวน แนะชมต้นปีเป็นช่วงเวลาเหมาะสม ปลอดฝนแถมได้ภาพสวย ๆ มาเชยชม หลัง เม.ย.เป็นต้นไปเข้าช่วงมรสุม เสี่ยงฟ้าปิดโอกาสเห็นได้ยาก

นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ หน.งานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สดร. เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือน ก.พ.เป็นต้นไป ในช่วงรุ่งเช้า แนวใจกลางทางช้างเผือก จะเริ่มปรากฏบริเวณขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ขนานกับเส้นขอบฟ้า ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู สังเกตเห็นได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. จนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น นอกจากนี้ ยังมีดาวพฤหัสบดี ดาวอังคารและดาวเสาร์ ปรากฏอยู่ใกล้กับใจกลางทางช้างเผือกอีกด้วย

กลางเดือน ก.พ.เป็นต้นไป เราจะสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ แนวใจกลางทางช้างเผือกจะปรากฏอยู่สูงจากขอบฟ้ามากขึ้น จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปลาย เม.ย. แนวใจกลางทางช้างเผือกจะค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางเป็นแนวพาดบริเวณกลางฟ้า ช่วงนี้จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป สามารถชื่นชมความสวยงามและบันทึกภาพทางช้างเผือกได้ยาวนานขึ้น

ทางช้างเผือกเป็นวัตถุท้องฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อมองจากโลก สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ลักษณะเป็นแถบสว่างพาดเป็นแนวยาวกลางฟ้า ตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ ใจกลางทางช้างเผือก (Galactic Center) คือส่วนที่สว่างที่สุดของทางช้างเผือก ประกอบด้วยวัตถุท้องฟ้ามากมาย อาทิ ดาวฤกษ์ กระจุกดาว เนบิวลา เป็นต้น แนวใจกลางทางช้างเผือกจะอยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องและกลุ่มดาวคนยิงธนู ปรากฏบนท้องฟ้าในตำแหน่งที่เฉียงไปทางใต้ และเนื่องจากใจ กลางทางช้างเผือกอยู่บริเวณกลุ่มดาวซีกฟ้าใต้ ทางภาคใต้ของไทยจึงมองเห็นแนวใจกลางทางช้างเผือก อยู่สูงจากมวลอากาศบริเวณขอบฟ้า และสูงจากขอบฟ้ามากกว่าภูมิภาคอื่น ชาวใต้จึงมีโอกาสสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจนมาก

ช่วงเวลาที่สังเกตทางช้างเผือกได้ดีที่สุดคือ ปลาย เม.ย.-ต้น ต.ค. จะเห็นใจกลางทางช้างเผือกบริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนูได้ง่าย ทางช้างเผือกบริเวณนี้ จะสว่างและสวยงามกว่าบริเวณอื่นๆ และอยู่ในตำแหน่งกลางท้องฟ้าเกือบตลอดทั้งคืน แต่ในประเทศไทยเป็นช่วงฤดูฝน จึงมักมีอุปสรรคเรื่องเมฆและฝนตก แต่หากท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆฝน ก็จะถือเป็นโอกาสดีที่สุดของการถ่ายภาพทางช้างเผือกในรอบปี หลังจากนั้นในช่วง ต.ค.-พ.ย.เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อุปสรรคเรื่องเมฆฝนจะเริ่มน้อยลง จะสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้ในช่วงหัวค่ำ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

นายศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เราสามารถสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้เกือบตลอดทั้งปี แต่ปัจจัยสำคัญคือสภาพท้อง ฟ้า หากท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีทัศนวิสัยของท้องฟ้าดี ไม่มีแสงรบกวนทั้งแสงจากดวงจันทร์และแสงไฟจากเมือง ก็จะสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจน ผู้ที่อาศัยในเขตเมืองส่วนใหญ่ มักไม่มีโอกาสได้ชมทางช้างเผือก เนื่องจากทัศนวิสัยของท้องฟ้าไม่เอื้ออำนวย มีแสงไฟ ฝุ่นละอองและควันเป็นจำนวนมาก หากต้องการสัมผัสทางช้างเผือก อาจจะต้องเดินทางไปยังสถานที่ ที่ห่างจากตัวเมืองอย่างน้อย ประมาณ 30 กม. เพื่อหลีกหนีจากมลภาวะทางแสงและฝุ่นละอองต่างๆ

สำหรับเดือน ก.พ.ผู้ที่สนใจถ่ายภาพทางช้างเผือก ควรหาสถานที่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้เล็กน้อย เป็นพื้นที่มืดสนิทไม่มีแสงรบกวน ตั้งกล้องโดยหันหน้ากล้องไปที่ใจกลางทางช้างเผือก บริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนู เลือกใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อให้ได้องศาการรับภาพที่กว้างมากขึ้น ปรับระยะโฟกัสของเลนส์ที่ระยะอนันต์ ใช้รูรับแสง ที่กว้างที่สุด พร้อมตั้งค่าความไวแสงตั้งแต่ 1600 ขึ้นไป ยังมีเคล็ดลับอื่น ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพทางช้างเผือกให้ได้ภาพที่สวยงาม น่าประทับใจอีกมากมาย สามารถติดตามได้ที่ www.narit.or.th นายศุภฤกษ์ กล่าวปิดท้าย

กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โทร. 053-121268-9 ต่อ 210-212 , 081-8854353 โทรสาร 053-121250

ร่วมแสดงความคิดเห็น