แม่ทัพภาคที่ 3 ติดตามผลการแก้ปัญหา หมอกควันไฟป่า 9 จังหวัดภาคเหนือ

แม่ทัพภาคที่ 3 ติดตามผลการแก้ปัญหา หมอกควันไฟป่า 9 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมกำชับให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยประกาศปิดป่าแบบมีเงื่อนไข ตั้งแต่ 25 – 31 มี.ค.นี้ ต้องขออนุญาตเข้าไปหาของป่า และห้ามพกพาสิ่งที่ทำให้เกิดไฟ ขณะที่ ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ วอนผู้เผา “ไม้ขีดก้านเดียว” จะส่งผลร้ายต่อคนเชียงใหม่ทั้งหมด

เมื่อวันที่ 23 มี.ค.61 ที่ค่ายพระปิ่นเกล้า อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผอ.ศูนย์อำนวยการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ระดับภาค ประชุมรับฟังผลการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหา ไฟป่าและหมอกควัน 9 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปีงบประมาณ 61 โดยมี แม่ทัพน้อยที่ 3 , ผบ.มทบ.33 , ผวจ.เชียงใหม่ , ผวจ.เชียงราย ,ผวจ.พะเยา , ผวจ.แพร่ , รอง ผวจ.ลำพูน , รอง ผวจ.ลำปาง , รอง ผวจ.น่าน และปลัด จ.ตาก พร้อมด้วย หน.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อรับทราบแนวทางการดำ เนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

จากการตรวจพบจุดความร้อนสะสม หรือ Hotspot ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ในปีงบประมาณ 61 ตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึงปัจจุบัน พบว่าภาคเหนือมีค่าฝุ่นละออง PM10 และค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานไปแล้ว (ไม่เกิน 120 ไมโคร กรัม/ลบ.ม.) จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ , ลำพูน , ลำปาง , แพร่ และ ตาก ซึ่งห้วงเดือน มี.ค.ปีนี้ (นับถึง 22 มี.ค.61) ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ เกิดจุด Hotspots จำนวน 2,378 จุด คิดเป็น 31.64 % จากสถิติเดือนมี.ค.ของปีที่ผ่านมา ตรวจพบจุด Hotspots ทั้งสิ้น 3,257 จุด ซึ่งคาดว่าการเกิด Hotspots จะลดลงจากปี 60 ประมาณ 35 – 40%

ด้าน พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ระดับภาค กล่าวว่า ในปีนี้ต้องขอชื่นชมทั้ง 9 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่คุณภาพอากาศ PM 10 ที่เกินค่ามาตรฐานน้อยกว่าปี 60 ทุกจังหวัด แต่ก็ยังมีบางวันที่เกินอยู่บ้างนิดหน่อย ไม่สูงเหมือนปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการประชุมหารือ พบว่าแต่ละจังหวัดจะมีปัจจัยการเกิดฝุ่นละอองแตกต่างกัน ทั้งการก่อสร้างต่างๆจำนวนมาก เช่น อาคาร ถนน สนามบิน สาธารณูปโภค หรือ สภาพภูมิประเทศของบางจังหวัด ที่เป็นแอ่งกระทะ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีการเผาจากภาคประชาชน ที่ยังเข้าใจว่าต้องเผาแล้วเห็ดจะขึ้น

ดังนั้นจึงขอใช้อำนาจของ ผวจ. ปิดป่าแบบมีเงื่อนไขเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 – 31 มี.ค.นี้ หากประชาชนท่านใดมีความประสงค์จะเข้าป่า ต้องไปแจ้งกำนัน-ผญบ. จนท.ต้นน้ำ หรือ จนท.กรมอุทยานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อขออนุญาตเข้าไปหาของป่า แต่ห้ามพกพาวัสดุที่จะทำให้เกิดไฟเข้าไปอย่างเด็ดขาด ส่วนประกาศของทั้ง 9 จัง หวัด ก็ยังคงมีการปฏิบัติในช่วงเวลาห้ามเผาตามเดิม

นอกจากนี้ ขอให้ทุกจังหวัดเรียกประชุม หน.ส่วนราชการ นอภ. อปท. กำนัน-ผญบ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนจิตอาสา และพลังมวลชนในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วมในการทำการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และกำ จัดเศษวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงริมทาง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า หากมีผู้ตั้งใจกระทำการเผาป่า จะให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะเราถือว่าได้ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ขอความร่วมมือกับประชาชนไปตั้งแต่ก่อนช่วงห้ามเผาแล้ว

ขณะที่ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผวจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ประกาศช่วงห้ามเผา (1 มี.ค. – 20 เม.ย. 61) เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาลดน้อยลงไปมาก แต่ยังบางวันที่มีค่า PM 10 เกินค่ามาตรฐาน โดย จ.เชียงใหม่ได้ดำเนินการแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังสุขภาพ และแนะนำการดูแลตัวเองในช่วงที่มีฝุ่นละอองเยอะ ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือประชาชนและทุกภาคส่วน ช่วยกันเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่บริเวณพื้นที่อยู่อาศัย ด้วยการรดน้ำต้นไม้ สนามหญ้า หรือพ่นละอองน้ำบนหลังคา เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพของตนเอง นอกเหนือจากที่ส่วนราชการและ อปท. ที่ได้ฉีดน้ำช่วยลดการสะสมของฝุ่นในพื้นที่ต่างๆ ตลอดจน จะได้กำชับเพิ่มความเข้มข้นในการทำทะเบียนประวัติ การเข้าป่า โดยเฉพาะกลุ่มที่หาน้ำผึ้ง เพราะจะต้องจุดไฟใช้ควันไล่ผึ้ง

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนตระหนักว่า ไฟที่เกิดจากไม้ขีดเพียงก้านเดียว เมื่อเกิดไฟป่าขึ้นมาแล้ว ต้องใช้คนจำนวนกว่า 20 – 30 คน รีบเข้ามาช่วยกันดับไฟ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพื่อต้องการรักษาคุณภาพอากาศของคนเชียงใหม่ ซึ่งผลกระทบยังส่งผลไปทั้งสภาพแวดล้อม สุขภาพอนามัย และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดและประเทศอีกด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น