อาจารย์แพทย์ มช. ได้รับคัดเลือกจากองค์กรระดับโลก ให้เป็น 1 ใน 5 นักวิทยาศาสตร์หญิง ที่ทำงานด้าน เอช.ไอ.วี

อาจารย์ประจำ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 นักวิทยาศาสตร์หญิงรุ่นใหม่ ที่ทำงานด้านโรคติดเชื้อเอช.ไอ.วี จากสมาคมโรคเอดส์สากล (The International AIDS Society) เนื่องในวัน International Day of Women and Girls in Science เมื่อวันที่ 11 ก.พ.61
อ.ดร.พญ.ทวิติยา สุจริตรักษ์ อาจารย์ประจำหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศา สตร์ มช. เปิดเผยว่า ในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงรุ่นใหม่ และได้ทำงานที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ หน้าที่ความรับผิดชอบหลัก คือ การเป็นอาจารย์แพทย์ ที่รับผิดชอบงานสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก แพทย์ใช้ทุน และแพทย์ประจำบ้านที่ปฏิบัติงาน ณ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ รวมทั้งการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาทางด้านโรคติดเชื้อต่างๆ รวมถึงโรคติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์)
นอกจากนี้ ตนเองยังมีความสนใจทางด้านงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก และวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด โดยในปี พ.ศ.2554 ตนได้รับพระราชทานทุน “มูลนิธิอานันทมหิดล” แผนกแพทยศาสตร์ เพื่อไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ทางด้านระบาดวิทยาโรคติดเชื้อ (Infectious Disease Epidemiology) ณ มหาวิทยาลัย Johns Hopkins เมือง Baltimore มลรัฐ Maryland ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในระหว่างที่ศึกษาต่อที่ต่างประเทศนั้น ตนได้มีโอกาสทำงานวิจัยเชิงลึก ทางด้านโรคติดเชื้อเอชไอวีมากมาย โดยเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ที่มิได้มีความเกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ (long-term,non-infectious complications)ในเด็กและวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี ที่กำลังเจริญเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น เช่น ภาวะมวลกระดูกเสื่อม ภาวะไขมันพอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มอาการทางเมตาบอลิก และภาวะไตบกพร่อง เป็นต้น
รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ โรคติดเชื้อฉวยโอกาสในประชากลุ่มนี้ นอกจากนั้น ตนยังได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดา สู่ทารก การศึกษาเภสัชจลศาสตร์ของยาต้านไวรัส รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการรักษาล้มเหลวและยาต้านไวรัสชนิดใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ดื้อยา และการให้วัคซีน เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่เหมาะสมในประชากรกลุ่มนี้สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้ตนสนใจ ที่จะทำงานด้านโรคติดเชื้อเอชไอวีในเด็กและวัยรุ่นนั้น เริ่มต้นจากเมื่อครั้งตนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ที่ได้หมุนเวียนมาปฏิบัติงานที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีผู้ป่วยเด็กด้วยโรคติดเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์เป็นจำนวนมาก ที่ต้องเข้ารับการรักษาในรพ. เนื่องจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน จากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก เด็กเหล่านี้บางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องด้วยในขณะนั้นการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ยังไม่ได้มีอย่างแพร่หลายเช่นในปัจจุบัน
รวมทั้งระบบการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีของประเทศไทย ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสได้อย่างทั่วถึง ต่อมาเมื่อระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อเอชไอวี มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี จากมารดาสู่ทารก รวมทั้งการพัฒนายาต้านไวรัสชนิดใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคสูงขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีจากมารดา ลดน้อยลงตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี ที่เข้าถึงการรักษาด้วยยาต้านไวรัส มีแนวโน้มที่จะมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น โดยสามารถเติบโตเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ได้เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัสมีความก้าวหน้ามากขึ้น ตนเองได้สังเกตเห็นว่าเด็กและวัยรุ่นเหล่านี้ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ที่ไม่ได้เกิดจากโรคติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เช่น โรคกระดูกพรุน ภาวะไขมันพอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไตบกพร่อง เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นผลจากเชื้อไวรัสเอชไอวีเอง หรือผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสที่ได้รับมาตั้ง แต่อายุยังน้อย เนื่องจากเด็กเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดชีวิต เพื่อรักษาปริมาณไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับต่ำ และช่วยให้ระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายเป็นปกติ ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของความสนใจ ที่จะทำงานวิจัยทางด้านนี้ของตนเองในปัจจุบัน โดยมุ่งหวังว่าองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยเหล่านี้ จะช่วยหาแนวทางป้องกันและรักษาความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น และท้ายที่สุดจะสามารถช่วยให้เด็กและวัยรุ่นเหล่านี้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตดี ใกล้เคียงกับผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวีได้ในอนาคต โดยผลงานวิจัยเหล่านี้ บางส่วนได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ และบางส่วนได้ถูกนำไปเสนอผลงาน ในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลงานเหล่านี้ ทำให้ตนได้รับรางวัลทางการวิจัยหลายรางวัลในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ด้วยเหตุนี้ตนจึงรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก ในงานที่ได้ทำมาทั้งหมด ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นนักศึกษาแพทย์ จนกระทั่งเป็นอาจารย์แพทย์ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์หญิงรุ่นใหม่ ที่มีความสนใจทำงานวิจัย ตนอยากแนะ นำให้ผู้ที่เริ่มมีความสนใจในการทำงานวิจัยว่า อันดับแรกควร ถามตัวเองก่อนว่ามีความสนใจทางด้านไหน เพราะเมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ตนเองมีความสนใจ จะไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อแท้ และจะมีกำลังใจในการทำงานอยู่ตลอดเวลา
อันดับที่สอง คืออย่ากลัวกับความล้มเหลว แต่ให้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต และอันดับสาม คือควรมองหาอาจารย์ที่ปรึกษา ที่จะเป็นผู้ให้คำปรึกษา ข้อคิด และแนวทางปฏิบัติในระหว่างการทำงาน โดยทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์งานวิจัย และองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยได้ในอนาคต

ร่วมแสดงความคิดเห็น